รีเซต

ไทยเตรียมรับมือน้ำท่วมใหญ่ปี 67 แผนรับมือเชิงรุก สู่การลดผลกระทบ

ไทยเตรียมรับมือน้ำท่วมใหญ่ปี 67 แผนรับมือเชิงรุก สู่การลดผลกระทบ
TNN ช่อง16
29 พฤษภาคม 2567 ( 10:26 )
97

ประเทศไทยเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมปี 2567


ในปี 2567 ประเทศไทยมีแนวโน้มเผชิญกับสถานการณ์อุทกภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ" ที่สำคัญของประเทศ ทางสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้ร่วมกันวางแผนรับมือเชิงรุก เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น


สถานการณ์น้ำและการคาดการณ์


จากการรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าปรากฏการณ์ลานีญาจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในปีนี้ โดยปริมาณฝนจะตกหนักเป็นพิเศษในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และจะมีน้ำท่าไหลลงอ่างเก็บน้ำของเขื่อนใหญ่ในภาคเหนือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ขณะนี้ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักจะอยู่ที่ 41% และยังสามารถรับน้ำได้อีกมาก แต่ สทนช. ประเมินว่า เมื่อสิ้นสุดฤดูฝนปริมาณน้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 69% ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดน้ำล้นตลิ่งในบางพื้นที่


มาตรการเตรียมพร้อมรับมือ


สทนช. ได้กำหนดมาตรการเตรียมความพร้อม 10 ข้อ และสั่งการให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญกับมาตรการที่ 2 คือการทบทวนและปรับปรุงแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยใช้หลักการสำคัญคือ ต้องกักเก็บน้ำในพื้นที่ตอนบนให้ได้มากที่สุด ก่อนจะค่อยๆ ระบายลงสู่ที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง


แผนบริหารจัดการน้ำหลาก


- เริ่มจากพื้นที่แก้มลิงทุ่งบางระกำ 265,000 ไร่ ใน จ.สุโขทัย และ จ.พิษณุโลก ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้ 400 ล้าน ลบ.ม. โดยชาวนาจะต้องเก็บเกี่ยวข้าวให้เสร็จภายในวันที่ 1-15 ส.ค. เพื่อใช้พื้นที่รับน้ำหลากที่จะมาถึง

- ต่อมาเป็นการผันน้ำเข้าไปเก็บในบึงราชนก จ.พิษณุโลก ซึ่งจะช่วยหน่วงน้ำได้ 28.85 ล้าน ลบ.ม. และบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ อีก 100 ล้าน ลบ.ม. 

- เมื่อปริมาณน้ำเริ่มไหลลงมาถึงพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ทาง สทนช.จะวางแผนบริหารจัดการ โดยใช้เขื่อนเจ้าพระยาช่วยหน่วงน้ำ แล้วเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำ ผ่านแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน้อย และคลองชัยนาท-ป่าสักให้ได้มากที่สุด


การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน

นอกจากมาตรการเชิงวิศวกรรมแล้ว สิ่งสำคัญคือการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สทนช.จะลงพื้นที่พบปะชาวบ้านเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และรับฟังความคิดเห็น เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการน้ำที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และปรับแผนงานให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นมากที่สุด


ด้วยสถานการณ์อุทกภัยที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในปี 2567 การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการวางแผนเชิงรุก การเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำหลาก และการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ จะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ โดย สทนช.จะเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแล และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน



อ้างอิง 

รัฐบาลไทย

สทนช. 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง