รีเซต

เช็กโรคหลอดเลือดสมองตีบด้วยวิธี “ยืนก้มศีรษะ” ทำได้จริงหรือไม่?

เช็กโรคหลอดเลือดสมองตีบด้วยวิธี “ยืนก้มศีรษะ” ทำได้จริงหรือไม่?
TNN ช่อง16
27 พฤษภาคม 2565 ( 19:05 )
189

วันนี้ ( 27 พ.ค. 65 )ตามที่ได้มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเรื่องสุขภาพในประเด็นเกี่ยวกับเช็กว่าเป็นโรคหลอดเลือดตีบที่สมองด้วยตนเอง เพียงแค่ยืนและก้มศีรษะ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

จากกรณีคลิปวิดีโอที่แนะนำวิธีการเช็กสุขภาพเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดตีบที่สมองด้วยวิธีการยืนและก้มศีรษะ จับความรู้สึกของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาการหัวขยายใหญ่ หู้อื้อ แน่นจมูก ปวดเบ้าตานั้น ทางสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า โรคหลอดเลือดสมอง ไม่ว่าจะเป็นชนิด ตีบ อุดตัน หรือแตก วินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก เพราะความผิดปกติที่ถือเป็นโรค ส่วนใหญ่ทำให้เกิดอาการแบบฉับพลันหรือทันทีทันใด อาทิ อาการพูดลำบาก ปากตก แขนขายกไม่ขึ้น หรือการทรงตัวผิดปกติ ซึ่งการทดสอบอาการตามคำกล่าวอ้าง ได้แก่

1. การยืนและก้มศีรษะต่ำตามคลิปนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นอาจจะทำให้มีอาการหน้ามืด หมดสติ หรือล้ม เกิดอันตรายได้ และในบางรายที่มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูก อาจจะทำให้อาการบาดเจ็บเป็นมากขึ้นได้
2. การจับความรู้สึกว่าหัวขยายใหญ่ขึ้นหรือไม่ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากกะโหลกศีรษะในผู้ใหญ่ปกติ จะไม่สามารถขยายขนาดได้
3. การจับความรู้สึกหูอื้อ แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก หรือปวดเบ้าตา ไม่ใช่อาการของโรคหลอดเลือดสมอง แต่ท่าทางดังกล่าว สามารถทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้
4. ไม่มีการตรวจไม่พบโดยแพทย์แผนปัจจุบัน หรือการตรวจด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีแต่ตรวจพบมากเกินไป ที่บางครั้งอาจจะไม่ได้ทำให้เกิดความผิดปกติ แต่บังเอิญเจอ
5. อาการผมร่วง และหน้ามีจ้ำ ไม่ใช่อาการของโรคหลอดเลือดสมอง

โดยท่าดังกล่าวเป็นอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ ไม่ควรทำ และหากมีอาการ พูดลำบาก ปากตก แขนขายกไม่ขึ้น ทรงตัวไม่ได้ ที่เป็นฉับพลันหรือทันทีทันใด ควรไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที หรือโทร 1669 เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและทุพพลภาพจากโรคหลอดเลือดสมองได้


ข้อมูลจาก  : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย

ภาพจาก :  ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง