JMTลุยซื้อหนี้เติมพอร์ต เปิดช่องดีลคู่ค้าต่อยอด
#JMT #ทันหุ้น - JMT มองการเติบโตในช่วง 4 เดือนแรกปี 2565 ดีต่อเนื่อง หนุนผลงานครึ่งแรกปี 2565 ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน ตามยอดจัดเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้น ชี้จับตาครึ่งปีหลัง 2565 โดดเด่นกว่าหลังเข้าไฮซีซันสถาบันปล่อย NPL เต็มที่ มีโอกาสใช้เงินเกินงบหมื่นล้านบาท แย้มมีความสนใจหา Synergy ใหม่
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน 2565ที่ผ่านมา ยอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) มีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ตามพอร์ตมูลหนี้คงค้างที่ขยายตัวมากขึ้น จากสิ้นปี 2564ที่มีมูลหนี้คงค้างในพอร์ตกว่า 238,213 ล้านบาท อีกทั้งลูกหนี้ส่วนใหญ่มีการชำระหนี้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ
พร้อมใส่เงินทุน
ส่วนการจัดซื้อหนี้ด้อยคุณภาพใหม่เข้ามาในพอร์ตเพิ่มเติมนั้น ปัจจุบันเริ่มมี TOR จากทางสถาบันการเงินทยอยออกมาบ้างแล้วแต่ปริมาณอาจไม่หวือหวานัก และจะมีหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) มากขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 และ 4 เป็นต้นไป เพราะเข้าไฮซีซันของธุรกิจ ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่กว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพใหม่ทั้งแบบที่มีหลักประกันและโดยเฉพาะแบบไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหารในพอร์ตเพิ่มเติม
หากว่ามูลหนี้ก้อนใหม่มีความน่าสนใจและราคามีความเหมาะสม บริษัทก็มีความพร้อมที่จะใส่เงินลงทุนในปีนี้เพิ่มเติม ขณะที่ธุรกิจเร่งรัดติดตามหนี้นั้น คาดว่าจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังปี 2565นี้เช่นเดียวกัน สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกปีนี้เชื่อว่าจะมีการขยายตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน
ขณะที่ความร่วมมือกับบริษัทลูกของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในธุรกิจให้บริการงานติดตามหนี้ และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (AMC) คาดเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป นอกจากนี้บริษัทก็มีความสนใจและมองหาโอกาสในการหา Synergy ใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ จากปัจจัยที่กล่าวมาเชื่อว่าจะเข้ามาช่วยหนุนให้ผลงานในปี 2565 เติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ไม่น้อยกว่าปีก่อน 45%จากปีก่อน
โตก้าวกระโดด
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทางฝ่ายมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1/2565 คาดที่ 418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน แต่ลดลง 13%จากไตรมาสก่อน แม้อ่อนตัวจากไตรมาสก่อน เพราะเกิดจากฐานที่สูงในไตรมาส 4/2564 ตาม Seasonality ของธุรกิจบริหารหนี้ และคาดจะเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2565ส่วนเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน คงการเติบโตได้ดีตามแผนหลังเปิดเมือง
ทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้นราว 12% มาที่ 3.3 พันล้านบาท เติบโต 42%เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยปรับเพิ่มประมาณการ Cash Collection ขึ้น และปรับลดสมมติฐานอัตราดอกเบี้ยลงสำหรับหุ้นกู้ที่ออกใหม่ในปี 2566 ภายหลังการปรับขึ้น Credit rating และทางฝ่ายปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 100 บาท เทียบเท่าระดับ PER22F เดิมที่ 44 เท่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” เข้าสู่การเติบโตสูงแบบก้าวกระโดด ด้วยเงินทุนที่พร้อม
เด่นสุดกลุ่ม AMC
อีกทั้งธุรกิจมีความมั่นคง คงตำแหน่งหุ้นที่เด่นที่สุดในกลุ่มผู้บริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (AMC) ซึ่งจะยิ่งเห็นภาพชัดเจนขึ้นหลังการทำ JVAMC กับทาง KBANK และสถาบันการเงินอื่นๆ ซึ่งเป็น Upside Risk หลักบนกำไรปี 2565-2566 และทางฝ่ายมองว่าจะเข้ามาช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเรื่องต้นทุนในระยะยาวหนุน Momentum หุ้นต่อเนื่อง