รีเซต

BBL ไตรมาส 3 กำไร 1.13 หมื่นล. เพิ่ม 48% งวด 9 เดือน กำไร 3.28 หมื่นล. เพิ่ม 51%

BBL ไตรมาส 3 กำไร 1.13 หมื่นล. เพิ่ม 48%   งวด 9 เดือน กำไร 3.28 หมื่นล. เพิ่ม 51%
ทันหุ้น
19 ตุลาคม 2566 ( 17:21 )
52
BBL ไตรมาส 3 กำไร 1.13 หมื่นล. เพิ่ม 48%   งวด 9 เดือน กำไร 3.28 หมื่นล. เพิ่ม 51%

#BBL #ทันหุ้น –  ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิ 11,349.91 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.95 บาท เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,656.99 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.01 บาท

สำหรับผลงานงวด 9 เดือน 2566 มีกำไรสุทธิ 32,772.71 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 17.17 บาท เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 21,736.13 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 11.39 บาท

ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2566 จำนวน 32,773 ล้านบาท

ในไตรมาส 3 ปี 2566 เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวจากการภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นหลัก ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกของประเทศไทยชะลอตัวลงตามอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่อ่อนตัว ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลก เนื่องจากผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและคงไว้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อของประเทศต่าง ๆ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจกระทบต่อการส่งออกของไทยตลอดจนปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยืดเยื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

 

แม้ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางฟื้นตัว แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง หรือเกิดโอกาสหรือเป็นความท้าทายทางธุรกิจ โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 ตลาดการเงินโลกมีความผันผวน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ความยืดเยื้อของสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความท้ทายจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้บริโภค และการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้หลังโควิด-19 ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้น ธนาคารกรุงเทพตระหนักถึงความท้าทายในการดำเนินธุรกิจของลูกค้า จึงยังคงมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ให้คำแนะนำในการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ รวมถึงการสนับสนุนการลงทุนใหม่ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านความยั่งยืนในระยะยาว

 

ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิสำหรับ 9เดือนปี 2566 จำนวน 32,773ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไร สุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2566จำนวน 32,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นสุทธิกับการทยอยเพิ่มขึ้นของต้นทุนเงินรับฝากและการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าสู่ระดับเดิมตั้งแต่ต้นปี 2566 ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.96 ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.4ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงอยู่ที่ร้อยละ 46.4ทั้งนี้ จากการที่ ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง จึงมีการตั้งสำรองในไตรมาส 3 ปี 2566อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยสำรองผลขาดทุนค้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 9 เดือนปี 2566 มีจำนวน 26,323 ล้านบาท

 

ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงินสภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน  ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,723,751 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5จากสิ้นปีก่อน ส่วนใหญ่จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการค้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ที่ร้อยละ 3.0 ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 283.3

 

ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566จำนวน 3,163.297 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.5จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 86.1ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทช่อยอยู่ที่ร้อยละ 19.6 ร้อยละ 16.2และร้อยละ 15.4 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง