ผู้สูงอายุ 5.4 ล้านคน ยังต้องทำงานใน"วัยเกษียณ"

ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา โดยในปี 2567สัดส่วนจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวน 14 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรรวมทั้งหมดซึ่งสูงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน รองลงมา คือ สิงคโปร์ และเวียดนาม
และในอีก 10 ปีข้างหน้า United Nationsคาดการณ์ว่าไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-Aged Society) ซึ่งมีสัดส่วนประชากรที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันไทยมีอัตราการเกิดของประชากรลดต่ำลงมากขณะที่อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นตามพัฒนาการทางการแพทย์และการสาธารณสุข
แนวโน้มโครงสร้างประชากรไทยในอนาคตที่จะมีประชากรสูงวัยจำนวนมาก กอปรกับประชากรวัยทำงานลดลง ส่งผลให้อัตราส่วนเกื้อหนุน (Old-AgeSupport Ratio) ลดลงอย่างต่อเนื่อง นั่นคือภาระที่มากขึ้นสำหรับประชากรวัยทำงานในการดูแลประชากรวัยสูงอายุ
ดังนั้น การวางแผนทางการเงินอย่างเหมาะสมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณจึงเป็นเรื่องสำคัญซึ่งจะช่วยลดปัญหาการพึ่งพาบุตรหลานในยามชรา ช่วยให้มีความมั่นคงทางการเงิน และลดผลกระทบต่อระบบสวัสดิการสังคมและการพัฒนาเศรษฐกิจ
แต่ฐานะการเงินในปัจจุบันของผู้สูงอายุมีค่าใช้จ่าย และเงินออมเพียงพอรอรับใช้ชีวิตหลักเกษียณหรือไม่ มีการศึกษาของ “แพรวไพลิน วงษ์สินธุวิเศษ” ผู้วิเคราะห์อาวุโส งานนวัตกรรมข้อมูล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่อง “เตรียมพร้อมเกษียณอย่างไรให้มีกินใช้ตลอดชีวิต”
โดยงานศึกษานี้อาศัยข้อมูลจากแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (Socio-Economic Survey :SES) ปี 2566 - 2567 การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย และการสำรวจการทำงานของผู้สูงอายุในประเทศไทยปี 2567 จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และข้อมูลสินเชื่อจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau : NCB) เพื่อประเมินฐานะทางการเงินในปัจจุบันของผู้สูงอายุ
จากผลการศึกษา พบว่าผู้สูงอายุ 4 ใน 10 คนยังต้องทำงานอยู่ แม้จะอยู่ในช่วงวัยเกษียณแล้วก็ตาม สะท้อนถึงความกังวลด้านรายได้ โดยผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่มีจำนวน 5.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 38 ของจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด14 ล้านคน สาเหตุหลักเนื่องจากมีความจำเป็นต้องหารายได้เลี้ยงครอบครัวหรือตนเอง รวมถึงช่วยเหลือสมาชิกในครัวเรือน โดยรายได้เฉลี่ยของผู้สูงอายุอยู่ที่ 10,728 บาทต่อเดือน ต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยในปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 22,050 บาทต่อเดือน
ขณะที่ด้านค่าใช้จ่ายหลักของผู้สูงอายุคือใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค โดยผู้สูงอายุมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 8,125 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่(1) อาหาร และเครื่องดื่ม (2) ที่อยู่อาศัย และ (3) การเดินทาง ตามลำดับ
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายที่สำคัญอีกก้อนหนึ่งค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ พบว่าครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าเวชภัณฑ์ และค่าตรวจรักษาพยาบาลมากกว่าครัวเรือนที่ไม่มีผู้สูงอายุถึงร้อยละ 48 สะท้อนว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอาจสร้างแรงกดดันทางการเงินต่อการดำรงชีวิตในยามสูงวัย
แม้จะอยู่ในวัยเกษียณ แต่ผู้สูงอายุก็ยังคงต้อง “แบกหนี้” ในระดับสูง ขณะที่สถานการณ์ด้านเงินออมยังน่ากังวล โดยร้อยละ 42.7 ของผู้สูงอายุมีหนี้สินเฉลี่ย 130,505 บาทต่อคน และมีภาระจ่ายชำระหนี้อยู่ ที่ 2,208 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ หนี้ สินส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อการอุปโภคบริโภค
ขณะที่ด้านเงินออมของผู้สูงอายุ พบว่าร้อยละ 44 ของผู้สูงอายุไม่มีเงินออม หรือในกรณีที่มีเงินออมก็มีไม่มากนัก แม้ผู้สูงอายุบางรายจะมีรายรับจากเงินสวัสดิการช่วยเหลือของรัฐเพื่อมาบรรเทาสถานการณ์ทางการเงินในครัวเรือนบ้าง แต่แหล่งรายได้เหล่านี้มักมีขอบเขตและมูลค่าจำกัด จึงอาจไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาเพื่อให้ผู้สูงอายุมีกินมีใช้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ปัจจุบันการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นแบบขั้นไดตามช่วงอายุ คือ อายุ 60 - 69 ปี ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เดือนละ 600 บาท อายุ 70 - 79 ปี ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เดือนละ 700 บาท อายุ 80 - 89 ปี ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เดือนละ 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เดือนละ 1,000 บาท
ผลสำรวจข้างต้นชี้ให้เห็นว่าผู้สูงอายุกำลังเผชิญ ความท้าทายทางการเงิน โดยเฉพาะด้านการออมจากข้อมูลพบว่ารายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและภาระชำระหนี้รายเดือนแล้วแทบไม่เหลือเก็บออม เงินออมที่สะสมไว้เดิมก็อยู่ในระดับต่ำ สวนทางกับภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (negative shock) อาทิ ภาวะเจ็บป่วยร้ายแรงจนส่งผลให้ผู้สูงอายุไม่สามารถทำงานหารายได้ได้อีกต่อไป ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตหลังจากนี้ โดยเฉพาะหากผู้สูงอายุไม่มีครอบครัวหรือบุตรหลานให้พึ่งพิง
ดังนั้น การลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตหลังเกษียณ แบบมีเงินพอใช้ตลอดชีวิต โดยการเก็บออมแต่เนิ่น ๆ ในช่วงระหว่างที่ยังทำงานอยู่เป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยให้มีความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ นอกจากการฝากเงินกับสถาบันการเงินเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยแล้ว ยังมีวิธีการลงทุนผ่านตราสารทางการเงินและสินทรัพย์เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนอีกด้วย
โดยงานศึกษานี้อาศัยข้อมูลผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่าง ๆ และทองคำ ร่วมกับข้อมูลฐานะทางการเงินของผู้สูงอายุดังที่นำเสนอไปข้างต้น เพื่อนำเสนอตัวอย่างแผนการลงทุนเพื่อรองรับชีวิตหลังเกษียณสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในวัยทำงาน โดยใช้วิธี Bootstrap Simulation และ Markowitz Portfolio Optimization
งานศึกษานี้สมมติให้ปัจจุบันนางสาว A ปัจจุบันอายุ 40 ปี เป็นสาวออฟฟิศ สถานะโสด ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน โดยมีรายได้ 24,833 บาทต่อเดือน ขณะที่ค่าใช้จ่ายประมาณ 18,832 บาทต่อเดือน (ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายอาหารและเพื่อการอุปโภคบริโภคอื่น ๆ และค่าเดินทาง) และมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายอยู่ที่ 6,349 บาทต่อเดือน
นางสาว A วางแผนว่าจะเลิกทำงานเมื่อเกษียณอายุที่ 60 ปี นั่นคือ นางสาว A จะมีระยะเวลาลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกษียณเป็นระยะเวลา 20 ปี หากอายุขัยเฉลี่ยของประชากรไทยอยู่ที่ 75 ปี ดังนั้น นางสาว A จะต้องมีเงินออมขั้นต่ำที่ 1,859,940 บาท เพื่อให้เพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายและภาระจ่ายชำระหนี้ภายหลังเกษียณต่อเนื่องไปอีก 15 ปี
ผลการวิเคราะห์ด้วย Bootstrap Simulation ภายใต้ข้อสมมติเงินออมขั้นต่ำสำหรับรองรับการเกษียณดังกล่าว พบว่า นางสาว A จำเป็นจะต้องลงทุนเพื่อให้ได้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 5.9 ต่อปี โดยจะต้องปรับพฤติกรรมการใช้เงินในปัจจุบัน และกันเงินเพื่อลงทุนสูงถึงประมาณเดือนละ 3,979 บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 16 ของรายได้
แต่หากนางสาว A เริ่มออมเงินด้วยการลงทุนเร็วขึ้นอีก 15 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยเริ่มต้นทำงาน (first jobber) อัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุนจะลดลงอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 4.7 ต่อปี หรือลงทุนประมาณเดือนละ 1,864 บาทคิดเป็นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับรายได้
การลงทุนเพื่อให้ได้อัตราผลตอบแทนที่ต้องการนั้นจำเป็นต้องมีการจัดสรรสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆอย่างเหมาะสม จากผลการศึกษาด้วยวิธี Markowitz Portfolio Optimization พบว่า นางสาว A ควรลงทุนในตราสารทุนเป็นหลัก (ร้อยละ 43 ของพอร์ตการลงทุน) ซึ่งจะทำให้ได้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยที่มีระดับความเสี่ยงต่ำที่สุด
แต่หากนางสาว A เริ่มออมเงินด้วยการลงทุนเร็วขึ้น 15 ปี จะสามารถลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงได้โดยการเลือกลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก (ร้อยละ 51.8 ของพอร์ตการลงทุน)
ผลการศึกษาดังกล่าวสะท้อนว่าหาก “เริ่มต้นเก็บออมและลงทุนได้เร็ว” อาทิ ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน สัดส่วนเงินออมต่อรายได้ต่อเดือนอาจจะไม่สูงจนกลายเป็นภาระทางการเงินนัก แต่หากเริ่มออมตอนอายุมากแล้ว เงินออมต่อรายได้รวมถึงอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุนจะอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้องลงทุนโดยยอมรับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายยามเกษียณที่จะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างแผนการลงทุนของนางสาว A ข้างต้นเป็นการจำลองภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มี negative shock มากระทบ แต่หากเกิด shock รุนแรงจนส่งผลให้รายได้ลดลง อาทิ การตกงานกะทันหัน ก็ย่อมส่งผลต่อสถานการณ์ทางการเงินและอาจกระทบต่อแผนการเกษียณในระยะยาว
ดังนั้น การตระหนักรู้และวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบตั้งแต่อายุยังน้อยจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มีเงินเก็บสำรองเพียงพอเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉินรวมถึงมีระยะเวลาเก็บออมเพื่อลงทุนเตรียมเกษียณนานขึ้นซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอันจะนำไปสู่ชีวิตหลังเกษียณ ที่มีกินมีใช้ตลอดชีวิต
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
