รีเซต

บาทแข็งโป๊ก ซ้ำเติม "ส่งออก-ท่องเที่ยว"

บาทแข็งโป๊ก ซ้ำเติม "ส่งออก-ท่องเที่ยว"
TNN ช่อง16
30 กันยายน 2568 ( 12:55 )
8

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ระุบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) อ่อนค่ากว่าร้อยละ 10   ซึ่งโดยปกติแล้วการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐมักเป็นภาพสะท้อนไปยังค่าเงินกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ให้แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ดีค่าเงินกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียกลับมีทิศทางแตกต่างกันมาก 

โดยเงินบาทแข็งค่าสูงสุดในรอบกว่า 4 ปีที่ระดับ  31.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงต้นสัปดาห์ของเดือนกันยายนที่ผ่านมา และตั้งแต่ต้นปีค่าเงินบาทแข็งค่าแล้วกว่าร้อยละ 8 นับจากช่วงต้นปี 2568 แข็งค่านำสกุลภูมิภาค เป็นรองแค่เงินดอลลาร์ไต้หวันเท่านั้น ขณะที่ค่าเงินประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและเวียดนามกลับอ่อนค่าลงราวร้อยละ 3 

ความแตกต่างของทิศทางค่าเงินภูมิภาคนี้ อาจสะท้อนปัจจัยของแต่ละประเทศและการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์สหรัฐที่แตกต่างกัน

นอกจากเงินบาทเทียบกับดอลลาร์หรัฐจะแข็งค่าขึ้นแล้ว เงินบาทยังแข็งค่านำสกุลภูมิภาคนี้ สะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาทเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเงินคู่ค้าและคู่แข่ง  (Nominal Effective Exchange Rate : NEER) ที่แข็งขึ้นด้วย โดยดัชนี NEER ของไทยปรับแข็งค่าขึ้นใกล้เคียงในช่วงก่อนวิกฤติการเงินเอเชียในปี 2540 ที่ไทยยังตรึงค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 

แสดงให้เห็นว่าเงินบาทสะสมการแข็งค่าเหนือสกุลคู่ค้าคู่แข่งมานานแล้วโดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี 2548  ซึ่งดัชนี NEER โดยรวมมีทิศทางแข็งค่าอยู่เสมอ แม้จะมีช่วงสั้น ๆ หลังวิกฤต COVID-19 ที่ดัชนี NEER อ่อนค่าตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก่อนที่ดัชนีNEER จะกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567

สำหรับสาเหตุบาทแข็งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยเฉพาะของไทย โดยมีหลัก ๆ 3 ปัจจัย 

1. บาทแข็งจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ซึ่งนับตั้งแต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายของประเทศค่อนข้างมาก ทั้งนโยบายกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น (Stagflation) นโยบายการคลังที่ลดทอนเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ จากการปรับลดอัตราภาษีเงินได้ในประเทศ ขณะที่ภาระรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งภาระดอกเบี้ยยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งความพยายามจะเข้าแทรกแซง FED ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลสหรัฐฯ ในอดีตเคยทำมาก่อน ส่งผลให้ความเป็นอิสระของ FED ซึ่งเป็นผู้ดูแลเงินดอลลาร์สหรัฐถูกตั้งคำถามมาก 

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐในรอบนี้ไม่ใช่แค่การอ่อนค่าจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง แต่เป็นการอ่อนค่าจากความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและปัจจัยสถาบันของสหรัฐฯ ที่ลดทอนลงด้วย

2. บาทแข็งตามราคาทองคำที่สูงขึ้นเร็วจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์  ปัจจัยดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเร็วและราคาทองคำสูงเป็นประวัติการณ์ ยิ่งทำให้เงินบาทแข็งเร็วและแข็งนำภูมิภาค 

สาเหตุที่เงินบาทมักจะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ค้าส่งทองคำไทยมักจะขายทองคำ (ส่งออกทองคำ) เพื่อทำกำไร เมื่อได้รับชำระเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐแล้วแลกกลับเป็นบาท  จึงเป็นแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มเติม 

ขณะที่นักลงทุนรายย่อยไทยซื้อขายทองคำบ่อยครั้งตามการเคลื่อนไหวของราคา ก่อให้เกิดธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราจำนวนมากในตลาดภายในประเทศ ทำให้อุปสงค์ในประเทศอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง 

เหล่านี้เป็นพฤติกรรมการลงทุนของคนไทยที่มีทองคำเป็นส่วนหนึ่งของการออม โดยคนไทยจำนวนมากมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในการสะสมความมั่งคั่ง

ทั้งนี้ หากพิจารณาค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างค่าเงิน Emerging Asia กับราคาทองคำโดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 0.1 – 0.3 เท่านั้น อาจมีดอลลาร์สิงคโปร์ที่มีค่า Correlation สูงกว่าอยู่ที่ 0.5 เนื่องจากเป็นประเทศศูนย์กลางทางการเงิน แต่ค่า Correlation ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำกลับสูงถึง 0.7 และสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหากเทียบข้อมูลในช่วง 1 ปี, 3 ปี และ 5 ปีที่ผ่านมา ตามลำดับ

จึงทำให้การขายทองคำจึงสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทผ่านมูลค่าธุรกรรมการค้าทองคำเป็นหลัก ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 66.1 YOY นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำมักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางวันของตลาดการเงินสหรัฐฯ แต่เป็นช่วงกลางคืนของตลาดการเงินไทย ทำให้การทำธุรกรรมซื้อเงินบาทเป็นมูลค่าสูงเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีการซื้อขายเบาบาง ยิ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าเร็วขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้เล่นในตลาดที่ต้องการขายเงินบาทมีอยู่ไม่มาก

ดังนั้น แม้สุทธิแล้วไทยขาดดุลการค้าทองคำสะสม เพราะไม่มีแหล่งแร่ทองคำจึงต้องนำเข้า แต่ธุรกรรม (Flow) ทองคำที่สูงขึ้นมากในช่วงตลาดบางสามารถกดดันให้บาทแข็งได้  

3. บาทแข็งจากปัจจัยชั่วคราว ที่มีส่วนกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา โดยมีเงินทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนกันยายน ส่วนหนึ่งจากสถานการณ์การเมืองไทยที่ชัดเจนขึ้นโดยพบว่าในวันที่เงินบาทแข็งค่าเร็ว มีเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยถึงเกือบหมื่นล้านบาทภายวันเดียว  







 




นอกจากนี้ การเพิ่ม Hedging ratio ของกองทุนรวมที่ไปลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศในภาวะเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง (Panic hedge)  โดยการลงทุนส่วนใหญ่นั้นจะมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging) ผ่านตราสารอนุพันธ์ ดังนั้น ในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ผู้บริหารกองทุนบางแห่งมีการเพิ่ม Hedging ratio ผ่านการขาย USDTHB forward ( สัญญาซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) แลกเปลี่ยนกับเงินบาท (THB) ล่วงหน้า ) เพื่อป้องกันการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งส่งผลให้เงินบาทยิ่งมีแรงกดดันด้านแข็งค่าเพิ่มเติม

SCB EIC ยังประเมินว่าในครั้งนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทั้งที่นักลงทุนมองแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในแง่ลบ มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในระดับต่ำ และยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน บ่งชี้ว่าเงินบาทแข็งไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน

สะท้อนได้จากการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นว่าดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ในไตรมาสที่ 2 แข็งค่าถึงร้อยละ  8.4 YOY แม้ผลตอบแทนตลาดหลักทรัพย์ไทย 1 ปีย้อนหลังในไตรมาสที่ 2 จะอยู่ที่ติดลบร้อยละ -14.4  ซึ่งแย่กว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจสำคัญอื่น ๆ จะเห็นว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลเงินอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด 

ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศส่วนใหญ่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าไทย สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า แต่อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศเหล่านั้นกลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนัก 

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเงินบาทในปัจจุบันอาจกลายเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม (Shock amplifier)  แทนที่จะเป็น Shock absorber หรือช่วยลดทอนผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ดีได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำอยู่ก่อนแล้ว 

ทั้้งนี้ โดยปกติแล้วค่าเงินมักจะสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ เช่น หากเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ อัตราแลกเปลี่ยนมักจะอ่อนค่าตามความเชื่อมั่นของนักลงทุน ช่วยให้ภาคการส่งออกสินค้าและภาคการท่องเที่ยวสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น เนื่องจากราคาถูกลงในสายตาผู้บริโภคต่างชาติ ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีขึ้น  นั่นคือในกรณีปกติค่าเงินจะทำหน้าที่เป็น Shock absorber แต่ในปัจจุบันเกิดขึ้นตรงกันข้าม 

นอกจากนี้  แม้ไทยจะสามารถเจรจาอัตราภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 19  ไม่เสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาคมากนัก แต่เงินบาทที่แข็งค่านำภูมิภาคกลับจะทำให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

หากเปรียบเทียบอัตราภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ ที่เก็บจากสินค้านำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมกับการแข็งค่าของสกุลเงินเทียบดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่สิ้นปี 2567 พบว่า ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญ เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนี้ในอัตราใกล้เคียงกัน แต่ค่าเงินของประเทศคู่แข่งกลับไม่ได้แข็งค่าเท่าไทย ขณะที่การส่งออกไทยยังได้เปรียบ ไต้หวัน, จีน และอินเดีย เนื่องจากประเทศเหล่านี้ถูกเก็บภาษี Reciprocal tariff ในอัตราสูงกว่าไทยมาก

อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยยังขึ้นกับปัจจัยอื่นด้วย ทั้งประเภทสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อัตราภาษีนำเข้ารายหมวดสินค้า (Specific tariff) อัตราภาษี Transshipment และความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสินค้านำเข้าที่แตกต่างกัน 

SCB EIC ประเมินด้วยว่า เงินบาทแข็งค่าต่อส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทยแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทธุรกิจ ทั้งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจระดับสูง กลาง และต่ำ รวมถึงธุรกิจที่จะได้อานิสงส์เชิงบวก ดังนี้ 

1. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเชิงลบสูง–ปานกลาง  ได้แก่ ธุรกิจส่งออกที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศสูง เช่น เกษตรและอาหารทะเล (ยางพารา, มันสำปะหลัง และกุ้ง) สูญเสียความสามารถแข่งขันด้านราคาเทียบกับคู่แข่งที่ค่าเงินอ่อน และรายได้ส่งออกที่แลกกลับมาเป็นเงินบาทลดลงด้วย  

รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้จากต่างชาติในสัดส่วนสูง  โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว (โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว) เสี่ยงเสียเปรียบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมองค่าใช้จ่ายเที่ยวไทยสูงขึ้น โดยเฉพาหากเทียบกับประเทศค่าเงินอ่อน เช่น ญี่ปุ่น

2. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบต่ำ  ได้แก่ ธุรกิจที่พึ่งพารายได้และต้นทุนจากต่างประเทศใกล้เคียงกัน เช่น อาหารแปรรูป (ทูน่ากระป๋องและอาหารสำเร็จรูป) ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, ปิโตรเคมี และบริการอย่างสายการบิน–โรงพยาบาลเอกชน แม้รายได้ส่งออกหรือรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจลดลง แต่ธุรกิจยังมีส่วนชดเชยจากต้นทุนนำเข้าที่ถูกลง และบางอุตสาหกรรมยังได้ประโยชน์จากหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐที่ชำระเป็นเงินบาทถูกลง

ธุรกิจกลุ่มนี้สามารถใช้ Natural hedging เพื่อลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดจากรายได้และรายจ่ายที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเดียวกันได้รวมทั้งอาจเพิ่มสัดส่วนการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศเพื่อลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศในระยะยาว

3. กลุ่มธุรกิจที่ได้อานิสงส์เชิงบวก ได้แก่ ธุรกิจที่พึ่งพาตลาดในประเทศ แต่ใช้วัตถุดิบนำเข้ามาก เช่น เหล็ก (นำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อน) ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าที่ลดลง ทั้งนี้ ผลบวกที่เกิดขึ้นอาจถูกลดทอนจากการแข่งขันนำเข้าที่รุนแรงขึ้น และความต้องการในประเทศที่ยังฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์

SCB EIC ระบุว่าในช่วงที่เงินบาทผันผวนสูงหรือแข็งค่ามาก พบว่า ธปท. เข้าดูแลค่าเงินบาทผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการเพิ่มอุปสงค์ของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท โดยสะท้อนจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 289,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

อย่างไรก็ดี เงินทุนสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้นนี้อาจไม่ได้สะท้อนภาพการแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประเด็นการปรับมูลค่าสินทรัพย์ (Valuation change) ในเงินทุนสำรองฯ อีกด้วย เนื่องจากในปีนี้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงแรง (Dollar index อ่อนค่าลงราวร้อยละ 10  ตั้งแต่ต้นปี) ส่งผลให้การตีมูลค่าสินทรัพย์สกุลอื่นในทุนสำรองระหว่างประเทศมาอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐปรับสูงขึ้นด้วย 

อีกทั้ง มูลค่าทองคำที่อยู่ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ปรับสูงขึ้นจากราคาทองคำที่สูงขึ้นมากในปีนี้ จึงประเมินได้ว่า ธปท. ได้เข้าดูแลค่าเงินบาทในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าแรง เช่น ในเดือนกันยายน แต่มูลค่าการเข้าแทรกแซงอาจไม่สูงได้มากนัก หากประเมินจากปัจจัย Valuation change 



ประกอบด้วยการแทรกแซงค่าเงินของ ธปท. อาจทำได้จำกัด เนื่องจากทางการสหรัฐฯ ได้จับตาประเทศคู่ค้าหลักในประเด็นแทรกแซงค่าเงิน (FX manipulation) โดยในขณะนี้ไทยยังไม่ติดอยู่ใน Monitoring list แต่มีความเสี่ยง เนื่องจากไทยเข้าข่าย 2 ใน 3 เกณฑ์คือ (1) การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่าร้อยละ 3 ของ GDP (2) การเกินดุลการค้าสินค้าและบริการกับสหรัฐฯ มากกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 4 ไตรมาส เหลืออีกเกณฑ์ที่ไทยไม่เข้าข่ายคือ (3) การแทรกแซงค่าเงินโดยซื้อดอลลาร์สหรัฐสุทธิมากกว่า 8 เดือนในรอบ 12 เดือน เป็นมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 2 ของ GDP

SCB ประเมินว่าเงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่ออีกอย่างน้อย 1 ไตรมาส โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก 1. ทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยหลัก โดยตลาดเริ่มมองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้งในปีนี้ และ Terminal rate อยู่ที่ราวร้อยละ 3   

ขณะที่ SCB EIC ประเมินคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้เหลือร้อยละ 1.25 และอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้าเหลือร้อยละ 1 เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายมากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตชะลอลงในปีหน้า สะท้อนว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และไทยจะแคบลงมากขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันเงินบาทด้านแข็งค่าจะยังมีต่อ

2. ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มต่ำต่อเนื่อง จะช่วยสนับสนุนการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดไทยของไทยได้

3. ผู้ประกอบการที่เก็บรายรับในรูปดอลลาร์สหรัฐไว้ในบัญชี FCD อาจแลกกลับเป็น Local currency มากขึ้นเมื่อบาทเริ่มอ่อนค่าหรือไม่ได้แข็งค่าเพิ่ม เนื่องจากในช่วง 7 เดือนแรกของปี การส่งออกสินค้าไทยขยายตัวดีรายรับในรูปดอลลาร์สหรัฐจึงสูงขึ้น ผู้ส่งออกจึงเก็บรายรับในรูปดอลลาร์สหรัฐไว้ในบัญชี FCD มากขึ้นหากผู้ส่งออกเริ่มทยอยแลกดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท อาจเป็นอีกแรงกดดันหนึ่งที่ทำให้บาทแข็งค่าต่อได้ 

อย่างไรก็ดี เงินบาทจะไม่แข็งค่าเพิ่มอีกมากนัก เนื่องจากตลาดได้ Price-in ปัจจัยส่วนต่างดอกเบี้ยไปมากแล้วจึงทำให้แรงกดดันที่จะทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าอาจมีไม่มากนัก 

นอกจากนี้ ปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำสูงขึ้นต่ออาจเริ่มมีน้อยลง ทั้ง Global bond yields ที่ปรับลดลงมามากแล้ว และความเสี่ยง Geopolitical risk จากภาวะสงครามในหลายประเทศลดลง จึงทำให้อุปสงค์ต่อทองคำอาจไม่เร่งตัวมากเท่ากับในช่วงที่ผ่านมา แรงกดดันเงินบาทแข็งค่าจึงอาจมีไม่มาก โดยมองกรอบเงินบาทปลายปีอยู่ที่ราว 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านการทำ FX Forwards และอาจพิจารณา FX Options เป็นอีกทางเลือก โดยในช่วงที่ผ่านมาความผันผวนของค่าเงิน (FX Volatility) ปรับลดลง ทำให้ต้นทุนการทำ FX Options ถูกลงไปด้วย จึงอาจเป็นจังหวะให้ผู้ประกอบการเข้าทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงค่าเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง