มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประกาศเปลี่ยนชื่อ Facebook เป็น "Meta"
วันนี้( 29 ต.ค.64) มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า ทางบริษัท Facebook จะเปลี่ยนชื่อเป็น เมตา (Meta) อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งภายใต้การเปลี่ยนชื่อใหม่นี้ สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆของบริษัท รวมทั้ง วอทส์แอป (WhatsApp) และอินสตาแกรม (Instagram) จะยังคงใช้ชื่อเดิมต่อไป เช่นเดียวกับโครงสร้างขององค์กรที่จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สัญลักษณ์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะเปลี่ยนเป็น "MVRS" ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เมตา (Meta) ในความพยายามส่งเสริมเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน หรือ Virtual Reality แห่งอนาคต ภายใต้คอนเซปต์ที่เรียกว่า เมตาเวอร์ส (metaverse) โดยอธิบายว่า เมตาเวอร์ส คือ "สิ่งแวดล้อมเสมือน" ที่เชื่อมโยงชุมชนเสมือนจริงต่างๆเข้าด้วยกัน โดยผู้ใช้สามารถพบปะกัน ทำงาน เล่น ซื้อของออนไลน์ หรือเข้าสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual Reality) และเทคโนโลยีเสริมจริง (Augmented Reality) รวมทั้งแอปในโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ
โดยชื่อ "Facebook" นั้นมิได้สะท้อนให้เห็นถึงทุกอย่างที่ทางบริษัทกำลังทำอยู่อีกต่อไป ซึ่งนอกเหนือจากสื่อสังคมออนไลน์แล้ว Facebook ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์สำหรับเทคโนโลยีเสมือนจริงต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก พูดถึงการมุ่งหน้าสู่เมตาเวอร์สตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม และบริษัทแห่งนี้ยังได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี VR และ AR อย่างมาก โดยได้เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น หูฟัง Oculus VR ออกมา พร้อมกับเร่งออกแบบอุปกรณ์แว่นตา และสายรัดข้อมือ AR อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Facebook ซึ่งมีบริษัทลูกที่นำเสนอแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอื่นๆ ในสังกัดมากมาย เช่น วอทส์แอป และ อินสตาแกรม เพิ่งประกาศแผนจ้างงานเพิ่ม 10,000 ตำแหน่งในสหภาพยุโรป เพื่อสร้าง metaverse อันเป็นแผนงานที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ออกมาโปรโมทด้วยตนเอง
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าวอีกว่า เมตาเวอร์สจะสามารถไปถึงผู้คนราว 1,000 ล้านคนภายในทศวรรษหน้า และเชื่อว่าจะช่วยสร้างงานด้านเทคโนโลยีได้หลายล้านตำแหน่งในอนาคต
ขณะที่นักวิจารณ์บางคนชี้ว่า การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้อาจเป็นความพยายามของ Facebook ในการ "เบี่ยงประเด็น" จากรายงาน Facebook Papers ซึ่งเป็นเอกสารหลายพันหน้าเกี่ยวกับการทำธุรกิจของสื่อสังคมออนไลน์นี้ที่ถูกรวบรวมจากคนภายในองค์กรและสื่อต่างๆ ในสหรัฐฯ ชี้ถึงความขัดแย้งในบริษัทเและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อการใช้งานของเฟสบุ๊คซึ่งมีผู้ใช้ราวสามพันล้านคนทั่วโลก
ภาพจาก reuters