รีเซต

โรคแบคทีเรียกินเนื้อคนจู่โจมไวเสียชีวิตได้ใน 48 ชั่วโมง

โรคแบคทีเรียกินเนื้อคนจู่โจมไวเสียชีวิตได้ใน 48 ชั่วโมง
TNN ช่อง16
17 มิถุนายน 2568 ( 12:41 )
12

แบคทีเรียกินเนื้อคนคืออะไร?

แบคทีเรียกินเนื้อคน หรือ Necrotizing Fasciitis เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดรุนแรงที่ลุกลามอย่างรวดเร็วในชั้น พังผืด (fascia) และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เนื้อเยื่อตาย (necrosis) ในเวลารวดเร็ว จนทำให้เกิดอาการรุนแรงถึงขั้นช็อก อวัยวะล้มเหลว หรือเสียชีวิตภายในไม่กี่วันหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

คำว่า "แบคทีเรียกินเนื้อคน" เป็นคำที่ใช้สื่อถึงความรุนแรงของโรค เพราะเชื้อแบคทีเรียจะทำลายเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็วราวกับ "กัดกิน"

ข้อมูลจากกรมควบคุมโรครายงานว่า ระหว่าง 2019–2023 พบผู้ป่วยสะสมจากโรคแบคทีเรียกินเนื้อคนอยู่ที่ 106,021 ราย และมีผู้เสียชีวิตรวม 1,048 ราย  ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 59–60 ปี และเป็นผู้ชายประมาณร้อยละ 58 ช่วงเวลาที่พบบ่อยคือ เดือนพฤษภาคม–สิงหาคม ซึ่งตรงกับฤดูฝนและกิจกรรมเกษตรกรรม พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นโซน “hotspot” พบอัตราป่วยสูงกว่าภูมิภาคอื่น


สาเหตุของโรค

มีแบคทีเรียหลายชนิดที่เป็นต้นเหตุได้ แต่แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก:

1. Monomicrobial (เชื้อเดียว)

Group A Streptococcus (GAS) — สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด (บางสายพันธุ์สร้างสารพิษชนิด streptococcal exotoxin ทำให้เกิด shock และเนื้อตาย)

Staphylococcus aureus — รวมถึงสายพันธุ์ดื้อยา MRSA

Vibrio vulnificus — เจอในผู้ที่สัมผัสน้ำทะเลหรือลงน้ำขณะมีแผล

Aeromonas hydrophila — พบในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อย

Clostridium perfringens — ทำให้เกิดภาวะแก๊สคั่งในเนื้อ (gas gangrene)


2. Polymicrobial (หลายเชื้อร่วมกัน)

พบมากในผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, โรคตับ, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เชื้อที่พบร่วมได้แก่ E. coli, Bacteroides, Klebsiella, Enterococcus ฯลฯ

กลไกการเกิดโรค

  • เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านแผลเปิด เช่น แผลถลอก แผลผ่าตัด แผลแมลงกัด
  • เชื้อแบคทีเรียเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว และปล่อยสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อและหยุดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ทำให้เกิดเนื้อตาย การไหลเวียนเลือดลดลง และเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
  • การติดเชื้อลุกลามอย่างรวดเร็วตามแนวพังผืด
  • เกิดภาวะพิษในกระแสเลือด (Sepsis) ช็อก และอวัยวะล้มเหลว

ปัจจัยเสี่ยง

  • แผลเปิดทุกชนิด (แม้เพียงเล็กน้อย)
  • เบาหวาน
  • โรคตับเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ใช้ยากดภูมิ
  • การใช้สเตียรอยด์นาน
  • การผ่าตัดหรือฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง
  • การสัมผัสน้ำทะเล/หอยดิบ (กรณี Vibrio vulnificus)

 อาการของโรค

อาการมักเริ่มภายใน 24 ชั่วโมงหลังติดเชื้อ และอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว:

อาการเริ่มต้น

  • ปวดรุนแรงบริเวณแผล แม้ดูไม่รุนแรงจากภายนอก
  • ผิวหนังบวม แดง อุ่น
  • มีตุ่มน้ำพองหรือผิวหนังเริ่มม่วงคล้ำ
  • ไข้ หนาวสั่น เหงื่อออก

อาการลุกลาม

  • ผิวหนังเน่าดำ มีกลิ่นเหม็น
  • ความดันโลหิตต่ำ หายใจเร็ว ใจสั่น
  • ซึม ช็อก หรือหมดสติ
  • เนื้อเยื่อตายขยายวงกว้าง

การวินิจฉัย

  • แพทย์จะใช้การวินิจฉัยร่วมกันจาก:
  • การตรวจร่างกายโดยสังเกตลักษณะแผลและการลุกลาม
  • การตรวจเลือด: พบเม็ดเลือดขาวสูง, เกลือแร่ผิดปกติ
  • Imaging (CT/MRI): เพื่อดูการกระจายของการติดเชื้อในชั้นพังผืด
  • การผ่าตัดเปิดแผลดูเนื้อเยื่อโดยตรง (surgical exploration)
  • การเพาะเชื้อจากเนื้อเยื่อหรือเลือด

การรักษา

1. ผ่าตัดฉุกเฉิน

การขูด/ตัดเนื้อเยื่อตายออกให้เร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

อาจต้องผ่าตัดซ้ำหลายครั้งจนกว่าจะหยุดการลุกลาม


2. ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด

ให้ยาร่วมกันหลายชนิด เช่น:

Penicillin + Clindamycin + Carbapenem

หรือ vancomycin ถ้าสงสัยเชื้อดื้อยา


3. การดูแลทั่วไป

ดูแลภาวะช็อก: ให้น้ำ เกลือแร่ ยากระตุ้นหัวใจ

รักษาอวัยวะล้มเหลว เช่น ใส่เครื่องช่วยหายใจ ฟอกไต

ห้องความดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) — ช่วยฆ่าเชื้อและเร่งการหายของแผล


อัตราการเสียชีวิต

ถ้าได้รับการรักษาช้า อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึงร้อยละ 30–70 การผ่าตัดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงจะช่วยลดอัตราเสียชีวิตลงอย่างมาก

 การป้องกัน

  • ดูแลแผลเล็กน้อยให้สะอาดอยู่เสมอ
  • หลีกเลี่ยงลงน้ำทะเลหรือน้ำสกปรกขณะมีแผล
  • งดกินหอยดิบ โดยเฉพาะผู้มีโรคตับหรือภูมิคุ้มกันต่ำ
  • พบแพทย์ทันทีหากมีแผลแล้วปวดมาก บวม แดง หรือมีไข้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง