โรคแบคทีเรียกินเนื้อคนจู่โจมไวเสียชีวิตได้ใน 48 ชั่วโมง

แบคทีเรียกินเนื้อคนคืออะไร?
แบคทีเรียกินเนื้อคน หรือ Necrotizing Fasciitis เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดรุนแรงที่ลุกลามอย่างรวดเร็วในชั้น พังผืด (fascia) และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เนื้อเยื่อตาย (necrosis) ในเวลารวดเร็ว จนทำให้เกิดอาการรุนแรงถึงขั้นช็อก อวัยวะล้มเหลว หรือเสียชีวิตภายในไม่กี่วันหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
คำว่า "แบคทีเรียกินเนื้อคน" เป็นคำที่ใช้สื่อถึงความรุนแรงของโรค เพราะเชื้อแบคทีเรียจะทำลายเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็วราวกับ "กัดกิน"
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรครายงานว่า ระหว่าง 2019–2023 พบผู้ป่วยสะสมจากโรคแบคทีเรียกินเนื้อคนอยู่ที่ 106,021 ราย และมีผู้เสียชีวิตรวม 1,048 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 59–60 ปี และเป็นผู้ชายประมาณร้อยละ 58 ช่วงเวลาที่พบบ่อยคือ เดือนพฤษภาคม–สิงหาคม ซึ่งตรงกับฤดูฝนและกิจกรรมเกษตรกรรม พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นโซน “hotspot” พบอัตราป่วยสูงกว่าภูมิภาคอื่น
สาเหตุของโรค
มีแบคทีเรียหลายชนิดที่เป็นต้นเหตุได้ แต่แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก:
1. Monomicrobial (เชื้อเดียว)
Group A Streptococcus (GAS) — สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด (บางสายพันธุ์สร้างสารพิษชนิด streptococcal exotoxin ทำให้เกิด shock และเนื้อตาย)
Staphylococcus aureus — รวมถึงสายพันธุ์ดื้อยา MRSA
Vibrio vulnificus — เจอในผู้ที่สัมผัสน้ำทะเลหรือลงน้ำขณะมีแผล
Aeromonas hydrophila — พบในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อย
Clostridium perfringens — ทำให้เกิดภาวะแก๊สคั่งในเนื้อ (gas gangrene)
2. Polymicrobial (หลายเชื้อร่วมกัน)
พบมากในผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, โรคตับ, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เชื้อที่พบร่วมได้แก่ E. coli, Bacteroides, Klebsiella, Enterococcus ฯลฯ
กลไกการเกิดโรค
- เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านแผลเปิด เช่น แผลถลอก แผลผ่าตัด แผลแมลงกัด
- เชื้อแบคทีเรียเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว และปล่อยสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อและหยุดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- ทำให้เกิดเนื้อตาย การไหลเวียนเลือดลดลง และเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
- การติดเชื้อลุกลามอย่างรวดเร็วตามแนวพังผืด
- เกิดภาวะพิษในกระแสเลือด (Sepsis) ช็อก และอวัยวะล้มเหลว
ปัจจัยเสี่ยง
- แผลเปิดทุกชนิด (แม้เพียงเล็กน้อย)
- เบาหวาน
- โรคตับเรื้อรัง
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ใช้ยากดภูมิ
- การใช้สเตียรอยด์นาน
- การผ่าตัดหรือฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง
- การสัมผัสน้ำทะเล/หอยดิบ (กรณี Vibrio vulnificus)
อาการของโรค
อาการมักเริ่มภายใน 24 ชั่วโมงหลังติดเชื้อ และอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว:
อาการเริ่มต้น
- ปวดรุนแรงบริเวณแผล แม้ดูไม่รุนแรงจากภายนอก
- ผิวหนังบวม แดง อุ่น
- มีตุ่มน้ำพองหรือผิวหนังเริ่มม่วงคล้ำ
- ไข้ หนาวสั่น เหงื่อออก
อาการลุกลาม
- ผิวหนังเน่าดำ มีกลิ่นเหม็น
- ความดันโลหิตต่ำ หายใจเร็ว ใจสั่น
- ซึม ช็อก หรือหมดสติ
- เนื้อเยื่อตายขยายวงกว้าง
การวินิจฉัย
- แพทย์จะใช้การวินิจฉัยร่วมกันจาก:
- การตรวจร่างกายโดยสังเกตลักษณะแผลและการลุกลาม
- การตรวจเลือด: พบเม็ดเลือดขาวสูง, เกลือแร่ผิดปกติ
- Imaging (CT/MRI): เพื่อดูการกระจายของการติดเชื้อในชั้นพังผืด
- การผ่าตัดเปิดแผลดูเนื้อเยื่อโดยตรง (surgical exploration)
- การเพาะเชื้อจากเนื้อเยื่อหรือเลือด
การรักษา
1. ผ่าตัดฉุกเฉิน
การขูด/ตัดเนื้อเยื่อตายออกให้เร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
อาจต้องผ่าตัดซ้ำหลายครั้งจนกว่าจะหยุดการลุกลาม
2. ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด
ให้ยาร่วมกันหลายชนิด เช่น:
Penicillin + Clindamycin + Carbapenem
หรือ vancomycin ถ้าสงสัยเชื้อดื้อยา
3. การดูแลทั่วไป
ดูแลภาวะช็อก: ให้น้ำ เกลือแร่ ยากระตุ้นหัวใจ
รักษาอวัยวะล้มเหลว เช่น ใส่เครื่องช่วยหายใจ ฟอกไต
ห้องความดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) — ช่วยฆ่าเชื้อและเร่งการหายของแผล
อัตราการเสียชีวิต
ถ้าได้รับการรักษาช้า อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึงร้อยละ 30–70 การผ่าตัดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงจะช่วยลดอัตราเสียชีวิตลงอย่างมาก
การป้องกัน
- ดูแลแผลเล็กน้อยให้สะอาดอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงลงน้ำทะเลหรือน้ำสกปรกขณะมีแผล
- งดกินหอยดิบ โดยเฉพาะผู้มีโรคตับหรือภูมิคุ้มกันต่ำ
- พบแพทย์ทันทีหากมีแผลแล้วปวดมาก บวม แดง หรือมีไข้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
