พบเสื้อผ้าแก๊งปล้นทองพบพระริมห้วย ชี้มีแนวโน้มเผ่นไปเมียนมา ยัน ตร.ประสานประเทศเพื่อนบ้านได้
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแกะรอยโจรปล้นร้านทองพบพระ เชื่อคนร้ายเผ่นข้ามไปพม่าแล้ว พบกางเกง-เสื้อผ้า-รองเท้าที่ใช้ก่อเหตุทิ้งไว้ฝั่งไทย
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านจำหน่ายทองคำรูปพรรณ เลขที่ 356 ถนนซอโอ-วาเล่ย์ ต.พบพระ จ.ตาก หลังจากคนร้าย 3 คน ใช้รถกระบะยี่ห้อโตโยต้าไมตี้เอกซ์ ทะเบียน 1910 กำแพงเพชร และใช้อาวุธปืนยิงใส่ประตูกระจกร้าน พร้อมใช้ค้อนทูบประตูร้านเข้าไป จากนั้นได้นำทองคำรูปพรรณน้ำหนักเกือบ 187 บาท หลบหนีไป โดยมี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พล.ต.ต.ปก บดีพิทักษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ตาก ให้การต้อนรับ
พล.ต.อ.สุชาติได้ตรวจสอบที่เกิดภายในร้าน และสอบถามเจ้าของร้านถึงข้อมูลต่างๆ จากนั้นจึงเดินทางไปยังบ้านผากะเจ้อ หมู่ 9 ต.วาเล่ย์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้ในการปล้นมาเป็นรถยนต์สำหรับหลบหนี ซึ่งเดินทางไปบ้านยะพอ ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา และเป็นจุดที่คนร้ายหนีข้ามไปฝั่งเมียนมา โดยมีลำห้วยกั้นระหว่างเขตไทยกับฝั่งประเทศเมียนมา มีทหาร บก.ควบคุมที่ 14 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14 อ.แม่สอด พร้อมด้วยสุนัขทหารร่วมตรวจสอบพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบหลักฐานชิ้นใหม่เป็นเสื้อยืด กางเกงวอร์มสีน้ำเงิน และรองเท้าของคนร้ายวางอยู่ริมฝั่งลำห้วยยะพอติดชายแดน ตรงข้ามกับพื้นที่ทหารกะเหรี่ยงเคเอ็นดีโอ เจ้าหน้าที่จึงให้ตำรวจวิทยาการเข้าไปเก็บหลักฐานไว้ โดยมีการดูเบอร์รองเท้า ขนาดความสูงของกางเกง ขณะเดียวกันได้ให้สุนัขดมกลิ่นรองเท้า และจุดที่คนร้ายเดินทางไป แต่เนื่องจากมีลำห้วยกั้นอยู่ สุนัขจึงไม่สามารถไปต่อได้
พล.ต.อ.สุชาติกล่าวว่า คิดว่าคนร้ายน่าจะมีการสำรวจเส้นทางและวางแผนมาแล้ว มีแนวโน้มหนีไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ไม่ตัดประเด็นในประเทศออกไป แต่ให้ติดตามคนร้าย พร้อมตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดทั้งก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุจนพบรถยนต์ ส่วนหลักฐานต่างๆ ที่พบกำลังนำไปตรวจสอบเพื่อเทียบกับบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นผู้ครอบครองรถหรือไม่
พล.ต.อ.สุชาติกล่าวอีกว่า ส่วนรถยนต์ที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ 2 คันนั้น น่าจะมีคนร้ายมากกว่า 3 คน ทั้งนี้ การที่คนร้ายหนีไปฝั่งประเทศเมียนมา ทางผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีแนวทางในการทำงาน โดยสามารถประสานติดต่อกับประเทศเพื่อนได้อยู่แล้ว แต่ต้องให้ออกหมายจับในคดีนี้ให้ชัดเจนก่อน และขณะนี้ยังไม่มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยใดๆ