เปิดเบื้องหลังอียูปลดล็อกเดินทาง 14 ประเทศ
วันนี้ ( 30 มิ.ย. 63 )สหภาพยุโรปได้เผยรายชื่อ 14 ประเทศนอกกลุ่มอียูที่ถือว่าปลอดภัยในการเปิดให้เดินทางระหว่างกันได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ โดยมีไทยรวมอยู่ด้วย อียูมีเกณฑ์ในการคัดเลือกอย่างไร ไปดูกัน
ประเทศที่อยู่ในรายชื่อ"safe" list ของอียูในกลุ่มแรกที่จะเปิดพรมแดนวันที่ 1 กรกฎาคมนื้คือ แอลจีเรีย ออสเตรเลีย แคนาดา จอร์เจีย ญี่ปุ่น มอนเตเนโกร โมรอกโก นิวซีแลนด์ รวันดา เซอร์เบีย เกาหลีใต้ ไทย ตูนีเซีย และอุรุกวัย
ส่วนประเทศใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อนี้คือ สหรัฐฯ บราซิล จีน และรัสเซีย
จีน
นักการทูตของอียูระบุกับสำนักข่าวบีบีซีว่า อียูพร้อมที่จะเพิ่มรายชื่อ “จีน” เข้าไป หากรัฐบาลจีนเสนอข้อตกลงต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน คือให้พลเมืองอียูเข้าประเทศจีนได้
สหราชอาณาจักร
ขณะนี้ อียูยังถือว่าสหราชอาณาจักรเป็นสมาชิกของอียูไปจนถึงสิ้นปี ที่เป็นเส้นตายการออกจากการเป็นสมาชิก ทำให้พลเมืองของสหราชอาณาจักรยังคงได้รับสิทธิในการเดินทางเหมือนเดิมไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ขณะที่ประเด็นการสัญจรไปมาของพลเมืองระหว่างสหราชอาณาจักรและอียูก็อยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบร็กซิตอยู่แล้ว
ความขัดแย้งในอียู
ทั้งนี้ ในยามปกติ ชาติสมาชิกอียู ที่เข้าร่วมเขตเชงเก้น มี 26 ชาติ สามารถเดินทางสัญจรไปมาข้ามพรมแดนเขตเชงเก้นกันได้อย่างเสรี จนกระทั่งเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้ชาติสมาชิกเชงเก้นต่างออกมาตรการจำกัดการเดินทางของตน และต่อมาเมื่อเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จึงทยอยกลับมาเปิดพรมแดนระหว่างกัน
สำหรับการออกรายชื่อประเทศที่ปลอดภัยนอกกลุ่มอียูนี้ ชาติอียูยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน เช่น เยอรมนีและสเปนต้องการเปิดอย่างระมัดระวังเพราะที่ผ่านมาได้รับผลกระทบหนักมาแล้วจากการระบาด แต่ชาติอย่างกรีซ และโปรตุเกส ซึ่งพึ่งพาด้านการท่องเที่ยวมาก ต้องการเปิดพรมแดน และไม่กังวลต่อสถานการณ์ระบาดมากนัก
ความเห็นที่แตกต่างกันนี้ ทำให้ชาติที่กังวล ต้องการจำกัดจำนวนประเทศนอกอียูเข้ามาไม่มาก โดยคัดเลือกจาก อัตราการติดเชื้อที่ต่ำ ระบบบริการสาธารณสุขที่ดี และมีข้อมูลด้านสาธารณสุขที่เชื่อถือได้ แต่ชาติที่ต้องการรีบเปิดประเทศได้ผลักดันให้มีการเพิ่มจำนวนประเทศมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในขณะที่ชาติอย่างฝรั่งเศส เสนอว่า การเปิดประเทศนั้นควรพิจารณาจาก การได้ข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับประเทศนั้นๆด้วย เช่น ประเทศที่ยังแบนการเดินทางจากอียูอยู่ ก็ยังไม่ควรได้รับการจัดให้อยู่ในลิสต์เข้าอียูได้
นอกจากนี้ อีกความกังวลคือ การพิจารณาโดยอิงข้อมูลด้านสาธารณสุขนั้นส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์การเมืองโลก เพราะหลายประเทศไม่เห็นด้วยกับการแบนพลเมืองสหรัฐฯ แต่กลับไม่แบนพลเมืองจีน แต่ปัญหาก็คือ สหรัฐฯนั้นมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 และเสียชีวิตมากที่สุดในโลก
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อต่างๆ รายงานว่า อียูได้พิจารณาลิสต์สองประเภท คือ กลุ่มประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่า 16 รายต่อประชากร 100,000 คน และกลุ่มที่มีการติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่า 20 รายต่อประชากร 100,000 คน เพื่อที่ว่าในกลุ่มที่สองนี้ จะได้มีรายชื่อของแคนาดาและตุรกีติดเข้ามาด้วย และมีการตกลงว่า จะทบทวนเงื่อนไขการเข้าประเทศทุกๆสองสัปดาห์ เพื่อที่ว่าจะได้มีการเพิ่มรายชื่อประเทศใหม่ เช่น สหรัฐฯได้ในภายหลัง
ทั้งนี้ การที่ชาติสมาชิกอียูยังมีความเห็นที่แตกต่างกันต่อการเปิดพรมแดนให้กลุ่มประเทศนอกอียูนี้ และสรุปรายชื่อได้ 14 ประเทศแรก ทำให้อียูตัดสินใจนำเรื่องนี้เข้าสู่การลงคะแนนโหวตในบ่ายวันอังคารนี้เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการเห็นชอบอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยสมาชิกอียู 27 ชาติ ต้องโหวตเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก 55% ในการยอมรับรายชื่อนี้ นั่นหมายความว่าต้องมีอย่างน้อย 15 ประเทศ ที่มีประชากรรวมกันคิดเป็นอย่างน้อย 65% ของประชากรในอียูให้ความเห็นชอบ
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
facebook live : TNN Live
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNThailand
Instagram : @tnn_online
TIKTOK : @tnnonline