สธ.จ่อชง ครม.พรุ่งนี้ อนุมัติงบซื้อแพกซ์โลวิด 5 หมื่นคอร์ส ชี้เห็นชอบปุ๊บ เตรียมรับของก่อนสงกรานต์
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงการจัดซื้อ ยาแพกซ์โลวิด เพื่อนำเข้ามารักษาผู้ป่วย/ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในประเทศไทยว่า ยาแพกซ์โลวิด ผลิตโดยบริษัท ไฟเซอร์ และประเทศไทยกำลังจะนำเข้ามาใช้ เป็นยาที่มีผลการศึกษาวิจัยว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดอัตราการเข้าโรงพยาบาล (รพ.) และการเสียชีวิตได้ดีมาก ซึ่งพรุ่งนี้ (22 มีนาคม) คาดว่าจะมีการนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอความเห็นชอบในการใช้งบประมาณจัดซื้อยาดังกล่าว จำนวน 50,000 คอร์สการรักษา โดยหากผ่านความเห็นชอบแล้ว คาดว่าวันที่ 24 มีนาคมนี้ จะมีการลงนามในสัญญาจัดซื้อต่อไป อย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ผลิตระบุว่าหลังจากลงนามแล้วจะพร้อมส่งสินค้าภายใน 1 สัปดาห์ จึงคาดว่าประเทศไทยจะมียาแพกซ์โลวิดใช้รักษาผู้ป่วย/ติดเชื้อโควิด-19 ก่อนเทศกาลสงกรานต์นี้
นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า ในประเทศไทยมียาหลักที่ใช้รักษาโควิด-19 ประมาณ 5 ตัว สำหรับแนวทางการใช้ยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 มีดังนี้ 1.กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ ไม่แนะนำให้รับประทานยา 2.กลุ่มป่วยอาการน้อย และไม่มีภาวะเสี่ยง เช่น ไข้ไม่สูง มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ จะรักษาด้วยยาตามอาการ เช่น ยาฟ้าทะลายโจร ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก เป็นต้น 3.กลุ่มป่วยอาการน้อยแต่มีภาวะเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัว จะให้ยาฟาวิพิราเวียร์ แต่หากเป็นกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และมีโรคร่วม 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน กลุ่มนี้จะให้ยาโมลนูพิราเวียร์ 4.ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการปอดอักเสบ จะให้ยาเรมดิซิเวียร์
“สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์ มีผลการศึกษาว่าหากให้ยาเร็วก็จะป้องกันอาการรุนแรง และทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นตามลำดับ ส่วนยาเรมดิซิเวียร์มีข้อจำกัด คือเป็นยาที่ใช้ฉีด ต่างจากยาตัวอื่นๆ ที่เป็นยากิน ขณะที่ยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดก็จะมีเรื่องของราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับยาฟาวิพิราเวียร์ ในส่วนของการผลิตในประเทศก็จะมีเพียงยาฟ้าทะลายโจรและยาฟาวิพิราเวียร์ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) สามารถผลิตได้เอง แต่ทาง อภ.ก็จะจัดหายาโมลนูพิราเวียร์จากผู้ผลิตในอินเดียเข้ามาเพิ่มเติมต่อไป” นพ.สมศักดิ์กล่าว