ทีมวิจัยเยอรมัน ชี้สาเหตุภาวะลิ่มเลือดหลังฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ-เจแอนด์เจ เกิดจาก "อะดีโนไวรัส"
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ประเทศเยอรมนี ทีมวิจัยร่วมของสถาบันวิจัยหลายแห่งในเยอรมนี ซึ่งรวมทั้ง สถาบันเกอเธ่, มหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ตและสถาบันอื่นๆ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยในห้องทดลองที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบทบทวน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ภาวะลิ่มเลือดอุดตันและเกล็ดเลือดต่ำที่เกิดขึ้นกับผู้ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ากับจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) นั้น มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส อะดีโนไวรัสที่ใช้เป็นพาหะ(เวคเตอร์) นำส่งข้อมูลไวรัสเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์ในร่างกายผู้ได้รับวัคซีน ทำให้เกิดการอ่านค่าหรือคำสั่งผิดพลาด เป็นเหตุก่อให้เกิดภาวะลิ่มเลือดและเกล็ดเลือดต่ำขึ้นมา ตรงกันข้ามกับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ ที่นำส่งสารพันธุกรรมไวรัสเข้าสู่ของเหลวที่พบในเซลล์เท่านั้น
ทีมวิจัยเชื่อว่า การนำส่งสารพันธุกรรมของไวรัสเข้าสู่นิวเคลียสในเซลล์ของมนุษย์โดยตรงนั้น เป็นที่มาที่ทำให้มีการอ่านข้อมูลที่เป็นคำสั่งให้เซลล์สร้างโปรตีนของโคโรนาไวรัสเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นมา ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ทำให้โปรตีนที่เซลล์ผลิตขึ้น กลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดภาวะลิ่มเลือดผิดปกติ (blood clot disorders ) ขึ้นในจำนวนผู้ได้รับวัคซีนส่วนน้อยส่วนหนึ่ง
ในรายงานเผยแพร่ผลวิจัยนี้ระบุไว้ด้วยว่า วัคซีนซึ่งใช้เทคโนโลยีต่างออกไปจากวัคซีนชนิดไวรัลแวคเตอร์ของแอสตร้าเซนเนก้า และ เจแอนด์เจ อย่าง วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ ที่พัฒนาโดย บริษัทไฟเซอร์/ไบออนเทค และบริษัท โมเดอร์นา ไม่ได้นำส่งข้อมูลสารพันธุกรรมของไวรัสตรงเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์มนุษย์ เพียงนำส่งข้อมูลสารพันธุกรรมสู่ของเหลวที่พบในเซลล์ของมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นจึงถือได้ว่า เอ็มอาร์เอ็นเอ วัคซีน เป็นวัคซีนที่ปลอดภัยจากการเกิดลิ่มเลือดและเกล็ดเลือดต่ำ
ทีมวิจัยเสนอแนะไว้ด้วยว่า ผู้ผลิตวัคซีนอย่างแอสตร้าเซนเนก้าและเจแอนด์เจ ให้พิจารณาปรับปรุงชิ้นส่วนของสารพันธุกรรม ที่นำมาจากโปรตีนหนามหรือสไปค์โปรตีนของไวรัส เสียใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด “ปฏิกิริยาประจวบเหมาะ” จนกลายเป็นปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าและเจแอนด์เจ ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น