SFLEX ธุรกิจในเวียดนามเพิ่มมูลค่า โบรกฯ อัพกำไร-เป้าใหม่ที่ 5.50 บ.

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ส่องหุ้น SFLEX การซื้อธุรกิจในเวียดนามน่าจะใช้เงินจากการกู้ อย่างไรก็ดีสถานะทางการเงินของ SFLEX น่ายังดีอยู่ โดยคาด SPV จะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิของ SFLEX ได้ 5-15% ในช่วงปี 2566-68 ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-68 ขึ้น 16%/23%/27% และราคาเป้าหมายเป็น 5.5 บาท
ธุรกิจในเวียดนามจะเห็นผล Q3/66 เป็นต้นไป
ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการหลัง SFLEX ซื้อหุ้น 25% ใน Star Print Vietnam JSC (SPV) ด้วยต้นทุนในการลงทุนที่ประมาณ 385 ลบ. บริษัทฯ จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือห้นุ ในวันที่ 19 มิ.ย.2566 และคาดว่าผู้ถือหุ้น จะอนุมัติการซื้อดังกล่าว บริษัทฯ คาดว่ารายการดังกล่าวจะแล้วเสร็จใน Q3/66 ฝ่ายวิจัยคาดว่าบริษัทฯ จะกู้เงินจำนวน 300 ลบ. เพื่อชำระค่าซื้อหุ้นดังกล่าวซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E ratio) เพิ่มเล็กน้อยเป็น 0.9x ในปี 2566 เทียบกับ 0.6x ณ. สิ้นปี 2565 ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอาจกระโดดเพิ่มสามเท่าจากที่มีเพียงเล็กน้อยในปี 2565 อย่างไรก็ดีอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (Interest coverage ratio) น่าจะสูงถึง 26x ซึ่งสูงกว่า 23x ในปี 2565
ประโยชน์จากการควบรวมทั้งในด้านความหลากหลายของสินค้าและฐานลูกค้า SPV เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษคุณภาพสูง บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วยกล่องกระดาษพับ กล่องกระดาษลูกฟูก กล่องจั่วปัง ถุงกระดาษ กระดาษรองสินค้า ฯลฯ และมีลูกค้าสำคัญเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในอาเซียน ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ อาทิเช่น Unilever Colgate Nestle Mondelez Heineken P&G Crayola และ Walmart ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแตกต่างจาก SFLEX ซึ่งผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นหลัก เพราะฉะนั้นฝ่ายวิจัยจึงเห็นว่าบริษัทฯ จะได้ประโยชน์จากการควบรวมในแง่ของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และฐานลูกค้า
ธุรกิจในเวียดนามเพิ่มกำไรสุทธิ 5-15%
ในปี 2565 SPV รายงานรายได้จากการขายอยู่ที่ 1.5 พันลบ. (+16% y-y) และกำไรสุทธิ 135 ลบ. (+66% y-y) พร้อมอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิที่ 20.9% และ 9.1% ตามลำดับ ซึ่งใกล้กับระดับก่อนโควิดของ SFLEX โดยคาดว่า SFLEX จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจำนวน 10 ลบ. ในปี 2565 (คิดจากการดำเนินงาน 5 เดือน), 34 ลบ. ในปี 2567, และ 36 ลบ. ในปี 2568 ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิได้ 5%/15%/14% ในปี 2566-68
ปรับราคาเป้าหมายเป็น 5.5 บาท
ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2566-68 ขึ้น 100-200bps จากราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าคาด ด้วยเหตุดังกล่าวจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-68 ของฝ่ายวิจัยขึ้น 16%/23%/27% สมมติฐานใหม่ของฝ่ายวิจัยคาดอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิไว้ที่ 237%/24%/11% คิดเป็น 17% CAGR ซึ่งสูงกว่าประมาณการก่อนหน้าที่ 12% พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 5.5 บาท (ซึ่งคิดจากค่า 2566 P/E เดิมที่ 24x) จาก 4.7 บาท คงแนะนำซื้อ