รีเซต

รวยไม่สนโควิด"คฤหาสน์หรู100ล้าน"ยอดขายพุ่ง

รวยไม่สนโควิด"คฤหาสน์หรู100ล้าน"ยอดขายพุ่ง
TNN ช่อง16
17 ธันวาคม 2563 ( 14:34 )
184

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดต่อเนื่องสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่ในปี  62 ถูกผลกระทบจากมาตรการคุมเข้มสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์(แอลทีวี)  ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ยอดการเปิดโครงการใหม่ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะกำลังซื้อที่หายไป โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนและนักเก็งราคาทั้งหลายเเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายเล็กรายใหญ่ต่างพาเหรดกันปรับกลยุทธ์เร่งระบายของค้างสต๊อก  โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่เรียงรายขึ้นเป็นดอกเห็ด

ถูกนำมาจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย เพื่อแย่งกำลังซื้อที่มีจำกัด และหวังเพียงว่า ฟ้าหลังฝนในปี 63 มันต้องดีขึ้น  แต่ผลก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์  63 พฤติกรรมการใช้เงินของประชาชนที่ต่างคนต่างรัดเข็มขัด คิดแล้วคิดอีกเพื่อไม่ก่อหนี้เพิ่มเกินความจำเป็นหรือนำเงินเก็บมาใช้จ่าย กับสิ่งของขนาดใหญ่ เพราะความไม่แน่ชัดของโควิด-19 จะสิ้นสุดถึงเมื่อไหร่  อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเส้นทางของธุรกิจอสังหาฯ จะมืดไปเสียทุกด้าน เพราะแม้ว่ากำลังซื้อโครงการคอนโดมิเนียมจะหายไปก็ตาม แต่ตลาดแนวราบยังคงมีหวังอยู่ จากกำลังซื้อของผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง

สะท้อนจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ปรับแผนธุรกิจ พร้อมใจกระโดดลงมาเล่นตลาดแนวราบเพิ่มขึ้น เน้นตลาดบ้านเดี่ยว เจาะกลุ่มลูกค้าเศรษฐี ทายาทเศรษฐีที่เป็นเรียลดีมานด์แท้จริง เริ่มตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงราคาทะลุปรอท 100 ล้านบาท   และที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์หลายรายได้เข้ามาลงสนามเล่นในตลาดนี้ไม่น้อย  เช่น โครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส  บมจ. สิงห์เอสเตท ราคาเริ่มต้น   250 ล้านบาท ทั้งหมด 25  หลัง มีมูลค่าโครงการ  6,500 ล้านบาทเริ่มเปิดตั้งแต่ปี 61 ขายได้แล้ว 7 หลังหรือ 35%   ขาย 1,450 ล้านบาท

 โครงการ อาเทลิเย่ร์ เรสซิเด้นซ์ บจก. เอแลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ ราคาเริ่มต้น 138 ล้านบาท  มีทั้งหมด 8 หลัง มูลค่าโครงการ 1,104 ล้านบาท หลังจากเปิดโครงการปลายปี 62 ได้ปิดการขายจริงจังในช่วงโควิด  ขายได้  3 หลัง หรือ 37.5 % รายได้ 414 ล้านบาท โครงการ อิสระเรซซิเดนท์ พระราม  9  บริษัท ชาญอิสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด ราคาเริ่มต้น 120 ล้านบาท  มีทั้งหมด 20 หลัง   มูลค่าโครงการรวม 2,194 ล้านบาท  ขายได้แล้ว 70%  หรือ 13 หลัง รายได้ 1,540 ล้านบาท  โดยเฉพาะช่วงโควิดปิดการขายทะลุเป้าแตกต่างจากช่วงปกติ อาจเป็น เพราะลูกค้าได้ดูโครงการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว และเมื่อเจอโควิดทำให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้แบงก์ปรับลดสินเชื่อแบบลอยตัวลง ไม่ว่าจะเป็น MRR, MLR หรือ MOR  ทำให้การผ่อนชำระต่องวดลดลง  จากข้อมูลของไนท์แฟรงค์ พบว่า ในเดือนก.ย.2563 หากจำแนกตามระดับราคาบ้านในโครงการที่เปิดขาย ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมลฑลของอยู่ในปัจจุบันพบว่าบ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10-20 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายสะสมสูงสุดอยู่ที่ 5,906 หลังหรือ 59%   จากจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด 10,066 หลัง   

รองลงมาคือบ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 21-30 ล้านบาท มียอดขายรวมอยู่ที่ 2,290 หลัง หรือ 69%  จากก่อสร้าง 3,309 หลัง และ 31-40 ล้านบาทมียอดขายรวมอยู่ที่ 1,625 หลัง  หรือ 67% จากการก่อสร้าง 2,419 หลัง  ราคา 41-50ล้านบาทมียอดขาย 456 หลัง หรือ 66%จากการก่อสร้าง 690 หลังราคา 51-60 ล้านบาท ยอดขาย 278  หลัง  หรือ 65% จากการก่อสร้าง 429  หลัง ราคา 61-70 ล้านบาท ยอดขายสะสม 93 หลัง หรือ 39%  จากการก่อสร้าง 238 หลัง ราคา 71-99 ล้านบาท ยอดขายสะสม 239 หลัง หรือ 66%  จากการก่อสร้าง 364หลัง  

ส่วนบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท ยอดขายรวม 324  หลัง หรือ 78%  จากที่สร้าง 418 หลัง  สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าระดับบนยังเติบโต แม้ว่าลูกค้าในหลายกลุ่มจะได้รับผลกระทบจากโควิดทำให้ยอดขายลดลง แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ยังแกร่งมีกำลังซื้อสูง   กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของตลาดบ้านหรู ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีไทย เนื่องจากซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 ดังนั้น กลุ่มลูกค้าหลักของตลาดบ้านหรูยังเป็นกลุ่มคนไทย   โดยเป็นการซื้อเพื่อการลงทุน เพราะคาดหวังผลตอบแทน

สำหรับทำเลที่นิยมเป็น  กรุงเทพฯ รอบนอก โดยเฉพาะในกลุ่มช่วงตั้งแต่ 40-60 ปีขึ้นไป มากที่สุดจะเป็นกลุ่มที่เป็นครอบครัวใหม่  รองลงมาเป็น  โซนรัชดา ลาดพร้าว  พระราม 9 โดยเฉพาะกลุ่มช่วงอายุ 30-39 ปี และช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะเป็นกลุ่มครอบครัวใหม่ กลุ่มแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีบุตร     ขณะที่โซนกรุงเทพฯ ชั้นกลาง และชั้นใน พระโขนง อ่อนนุช และอุดมสุข เป็นทำเลที่เหมาะกับการซื้อบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มช่วงอายุ 50-59 ปี รองลงมาคือช่วงอายุ 22-29 ปี และ 30-39 ปี  ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มบ้านหรูนิยมจ่ายเป็นเงินสด หรือดาวน์ 60-70% กู้เพียง 30-40%  

ด้วยตัวเลขยอดขายที่ออกมา คงต้องบอกว่าโครงการแนวราบจับกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก คงเป็นทางเลือกทางรอดที่พอจะประครองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เดินไปต่อได้ ในช่วงที่เชื้อโควิดยังพร้อมจะพัดกระเพื่อมได้ทุกเวลา ต่ก็ต้องตามลุ้นกันไปว่า ภาคเศรษฐกิจจริงจะฟื้นตัวกลับมาได้จริงตามคำคาดการณ์ของกูรูสำนักต่างๆ หรือไม่ เพราะยิ่งทุกอย่างยังนิ่งสงบซบเซาต่อไป ต่อให้มีเงินถุงเงินถังมากแค่ไหน ก็คงไม่มีใครอยากจะเอาหน้าตักมาเทกองไว้แต่ในอสังหาริมทรัพย์เป็นแน่



เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง