น้ำแข็งแอนตาร์กติกาละลาย อาจรุนแรงขั้นหายนะ

นักวิทยาศาสตร์ออกมาเตือนว่าความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้นในทวีปแอน์ตาร์กติกา ที่อยู่ในขั้วโลกใต้ อาจจะทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงระดับหายนะ ซึ่งวิกฤตโลกร้อนกำลังทำให้น้ำแข็งทะเลรอบทวีปแอนตาร์กติกาละลายมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจากการเก็บสถิติและข้อมูล แสดงให้เห็นว่า หากอัตราการละลายของน้ำแข็งยังคงสูงอยู่ในระดับนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีความเป็นไปได้ที่ทวีปแอนตาร์กติกาจะไม่มีน้ำแข็งเหลืออยู่เลย ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งแอนตาร์กติกากำลังเจอปัญหานี้รุนแรงกว่าทวีปอาร์กติกที่อยู่ในขั้วโลกเหนือ และเมื่อน้ำแข็งละลายหายไปจนหมด ณ ตอนนั้น จะมีสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่ต้องสูญพันธุ์
เนริลลี อับราม ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นผู้นำการวิจัยครั้งนี้ บอกว่าการละลายของน้ำแข็งทะเลจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของระบบสภาพอากาศที่หากเกิดขึ้นแล้วจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แม้ว่าหลังจากนั้น เราจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ แต่ก็อาจจะสายเกินไป แม้เราจะชะลอการละลายของน้ำแข็งได้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการละลายของน้ำแข็งได้ โดยตอนนี้ พบว่ากระแสการไหลของน้ำทะเลรอบ ๆ ทวีปแอนตาร์ติกาเริ่มเปลี่ยนแปลง ซึ่งความร้อน 90% ที่เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ จะถูกน้ำทะเลซึมซับเข้าไป และทำให้น้ำทะเลดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้น้อยลงด้วย โดยนับตั้งแต่ปี 2014 พบว่าน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์ติกาละลายจากชายฝั่งไปมากกว่า 120 กิโลเมตรแล้ว ซึ่งการหายไปของน้ำแข็ง ก็ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายอย่างเสี่ยงสูญพันธุ์มากขึ้น โดยเฉพาะเพนกวินจักรพรรดิที่ใช้น้ำแข็งเป็นพื้นที่ในการสืบพันธุ์
นอกจากรายงานเรื่องนี้ แล้วยังมีรายงานอีกฉบับหนึ่งที่แสดงความเป็นห่วงว่า กิจกรรมของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้นในทวีปแอนตาร์กติกาก็น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน โดยพบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปที่ทวีปแอนตาร์กติกามากขึ้น รวมทั้ง นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ ที่มาประจำการเพื่อทำการสำรวจ แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าทวีปแอนตาร์กติกา มีโลหะหนักปนเปื้อนมากขึ้นถึง 10 เท่า หากเทียบกับเมื่อ 40 ปีที่แล้ว โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาแอนตาร์กติกา เพิ่มมากขึ้นจาก 20,000 คน เป็น 120,000 คน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องขยะ มลพิษที่มาจากเรือ เครื่องบิน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีส่วนทำให้น้ำแข็งละลายเร็วขึ้นไปอีก
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
