เกิดอะไรขึ้น! ราคาทองคำทุบนิวไฮรอบใหม่ - แนวโน้มทะลุ 60,000 บาทหรือไม่?

ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในวันที่ 23 ก.ย.68 ที่ผ่านมา โดยราคาต่างประเทศ Gold Spot อยู่ที่ 3,790.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลัง “เจอโรม พาวเวลล์ “ ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดระบุว่า ธนาคารกลางกำลังเผชิญกับ "สถานการณ์ที่ท้าทาย"โดยมีความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
ขณะที่การเติบโตของการจ้างงานที่อ่อนแอลงก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงาน ทำให้นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนต.ค.และธ.ค.นี้ หลังจากที่เฟดได้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% เมื่อการประชุมล่าสุดวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา
ขณะที่ราคาทองแท่งในประเทศไม่น้อยหน้าทำนิวไฮใหม่แตะระดับ 57,400 บาท ส่วนทองรูปพรรณแตะระดับ 58,200 บาท หลังเงินบาทอ่อนค่าในวันที่ 27 ก.ย.68 สู่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับทิศทางราคาทองคำในสัปดาห์หน้ามีแนวโน้มไปต่อ หรือพักฐาน มีปัจจัยบวกลบอะไรที่จะต้องติดตาม และราคามีโอกาสทะลุ 60,000 บาทหรือไม่ ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก“วรุต รุ่งขํา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ฉายภาพว่า สาเหตุที่ราคาทองคำดีดปรับตัวขึ้นร้อนแรงเพียงสัปดาห์เดียวขึ้นกว่า 2,000 บาท มาจากปัจจัยต่างประเทศจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต (NATO) หลังรัสเซียใช้เครื่องบินรบ MiG-31 จำนวน 3 ลำ ได้บินรุกล้ำน่านฟ้าเอสโตเนีย โดยไม่ได้รับอนุญาต และอยู่ในน่านฟ้านานถึง 12 นาที ก่อนที่จะถูกบังคับให้ถอนตัวออกไป
นอกจากนี้มีโดรนของรัสเซียกว่า 20 ลำรุกล้ำน่านฟ้าของโปแลนด์ในคืนวันที่ 9-10 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนาโตต้องส่งเครื่องบินขับไล่ยิงตกไปหลายลำ ทำให้นาโต้เรียกประชุมฉุกเฉิน
ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐแสดงความแข็งกร้าวต่อรัสเซีย โดยระบุว่าสหรัฐฯพร้อมสนับสนุนยูเครนต่อสู้กับรัสเซียก่อให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มส่งผลให้ราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยดีดปรับตัวขึ้นร้อนแรงหนุนราคา Gold Spot ทุบสถิติสูงสุดใหม่ 3,790.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำในประเทศยังไม่ทำลายสถิติใหม่ เพราะเงินบาทแข็งค่า
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้เข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาท เนื่องจากผู้ส่งออกเรียกร้องให้เข้ามาดูแลค่าเงินเป็นผลมาจากเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปถ้าเทียบกับสกุลอื่นในภูมิภาค ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันขึ้นประมาณ 8%
ประกอบกับ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ปรับลดมุมมองเครดิตของไทยเป็น “เชิงลบ” จากมี “เสถียรภาพ” และคงอันดับเครดิตที่ BBB+ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มการคลังของประเทศไทย จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ประกอบกับปัจจัยลบต่อการเติบโตจากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ล่าช้าเป็นแรงหนุนอีกทางที่ทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าแตะระดับที่ 32.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 31.18 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐหนุนราคาทองแท่งทุบนิวไฮใหม่แตะระดับ 57,400 บาท
ขณะเดียวกันกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มการถือครองทอง 0.60% สู่ระดับ 1,000.57 ตันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี เป็นแรงหนุนทองคำพุ่ง
หากย้อนดูราคาทองคำตั้งแต่เดือนม.ค.-ปัจจุบัน Gold Spot ปรับขึ้นประมาณ 43% ขณะที่ทองไทยขึ้น 34% หรือประมาณ 14,600 บาท
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำคาดว่าทรงตัวระดับสูง และอาจมีการขายทำกำไรเมื่อราคาขึ้นสูง และถ้าย่อตัวลงมาอยู่ที่ 56,000 บาทเป็นจังหวะที่เข้าซื้อเล่นรอบระยะสั้น
ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงที่ราคาขึ้นสูงจะมีแรงขายสลับกลับมาทำให้มีความผันผวนสูงอยู่ระดับ 110-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ดังนั้นราคาขึ้นไปแตะ 3,790.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์อาจจะลงไปเหลือ 3,600-3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
นอกจากนี้ธนาคารวาณิชธนกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ มีการประเมินว่าในอนาคต Gold Spot มีโอกาสขึ้นไปแตะที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกยังใช้ทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยของเฟดยังเป็นขาลง
โดยราคาทองคำในประเทศจะแตะถึง 60,000 บาทหรือไม่ขึ้นค่าเงินบาทด้วยว่าอ่อนค่าหรือไม่ ถ้าเงินบาทอ่อนแตะระดับ 33.30 บาทต่อดอลลาร์มีโอกาสเห็นราคาทองแท่งทะลุ 63,200 บาท และถ้า Gold Spot แตะ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เงินบาทอยู่ที่ 33.30 บาทต่อดอลลาร์ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 60,000 บาท และถ้าเงินบาทอยู่ที่ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 58,000 บาท
ส่วนแรงหนุนทองคำไปต่อมาจากปัจจัยเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และปีหน้า 3 ครั้ง ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ธนาคารกลางทั่วโลกยังใช้ทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่ม สงครามรัสเซีย-ยูเครน สหรัฐฯและยุโรปสนับสนุนยูเครนสู้รัสเซีย จากปัจจัยดังกล่าวล้วนส่งผลให้ราคาทองยังทรงตัวอยู่ระดับสูง
นอกจากนี้สหรัฐฯ เสี่ยงต่อการเกิด Government Shutdown หากสภาครองเกรสไม่สามารถอนุมัติงบประมาณได้ทันก่อนวันที่ 30 ก.ย. นี้ โดยรอบนี้อาจรุนแรงมากกว่ารอบอื่น เนื่องจากทำเนียบขาวระบุว่ามีแผนเลิกจ้างข้าราชการและอาจมีการปลดพนักงานออก ซึ่งเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของรัฐบาลทรัมป์ จากเดิมที่พักงานข้าราชการชั่วคราว จนกว่างบประมาณจะอนุมัติและกลับมาทำงานเหมือนเดิม
ด้านปัจจัยบวก-ลบสัปดาห์หน้า
- วันหยุดยาวแห่งชาติของจีน (Golden Week) วันที่ 1-7 ก.ย.อาจทำให้การซื้อขายลดลง
- จับตากองทุน SPDR Gold Trust จะนำทองที่ซื้อไปออกมาขายหรือไม่
- ติดตามตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน และการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ
- ดัชนี PMI การผลิตและการบริการ
- การเข้ารับตำแหน่งของนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่อาจจะใช้มาตรการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทรับมือความผันผวนของค่าเงิน
ประเมินแนวรับที่ 3,707 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 56,000 บาท แนวต้านอยู่ที่ 3,770-3,779 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 57,700-57,900 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากราคาอยู่ระดับสูงควรแบ่งขายทำกำไรออกไปก่อน
สอดรับกับน.ส.อารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD มองว่า ราคาทองขึ้นแรง เป็นผลจากกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเข้าซื้อทองคำ 2 รอบ รอบแรก 18 ตัน รอบ 2 จำนวน 6 ตัน ซื้อต่อเนื่อง 2 วัน รวมถึงความเสี่ยง government shutdown พรรคเดโมแครต และรีพับลิกันต้องตกลงกันให้ได้ในสภาครองเกรสถ้าไม่ได้ข้อสรุปเหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ บางส่วนอาจต้องปิดทำการ (Shutdown)
โดยจุดพีคสุดตรงที่ทำเนียบขาวเตรียมจะปลดพนักงานออก ปกติให้หยุดทำงานและไม่รับเงินในช่วงพิจารณางบประมาณ ทำให้สหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาตึงเครียดอีกครั้ง เมื่องบประมาณรัฐบาลกลางจะหมดอายุในวันที่ 30 ก.ย.นี้
ขณะเดียวกันมีปัญหาความตึงเครียดระหว่าง "นาโต้กับรัสเซีย"เพิ่มขึ้น หลังรัสเซียละเมิดน่านฟ้าประเทศสมาชิกนาโตอย่างเอสโตเนีย และมีโดรนบินในน่านฟ้าของโปแลนด์ โรมาเนีย และเดนมาร์กทำให้นาโต้ต้องเรียกประชุมฉุกเฉิน ดังนั้นมองว่า ระยะกลาง (3-6 เดือน) และระยะยาว (1ปี) ราคาทอง Gold Spot มีโอกาสไปได้ต่อแตะระดับ 3,800-3,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ประมาณ 57,300-57,500 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถ้าขึ้นไป 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ต้องแบ่งขาย เนื่องจากราคาขึ้นสูงระยะสั้นอาจถูกเทขายทำกำไร
“ราคาย่อเฉลี่ยอยู่ที่ 3,630-3,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 55,000-55,500 บาท ซึ่งตั้งแต่ 1 ก.ย.-27 ก.ย.ราคาขึ้นไปแล้วประมาณ 5,200 บาท”
ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในความเห็นส่วนตัวมองว่า เฟดอาจจะลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุด โดยเฉพาะจีดีพีไตรมาส 2 บวก 3.8% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งเป็นการลดแรงเสียดทานของตลาดแรงงาน และถ้าย้อนไปดูวิกฤติที่เกิดขึ้น เช่น ซับไพร์มเฟดจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 3 ครั้ง แต่ขณะนี้มองว่าสหัฐฯยังไม่เข้าภาวะวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย
ดังนั้นในเดือนต.ค.นี้เฟดอาจจะต้องดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก่อนทั้งอัตราการว่างงาน และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร หรือ Nonfarm Payrolls ถ้าไม่ดีขึ้นอาจจะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. จากเดิมที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะลดในเดือนต.ค.กับธ.ค.นี้ ทั้งนี้ถ้าสมมุติฐานดังกล่าวเป็นจริงราคาทองคำอาจจะย่อพักฐาน
ขณะเดียวกันต้องติดตามการหารือระหว่าง “สี จิ้น ผิง” ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ตกลงจะพบกันที่การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย–แปซิฟิก (APEC) ที่จะจัดขึ้นในเมืองเคียงจู ประเทศเกาหลีใต้ ปลายเดือนต.ค.นี้ อาจจะมีการเจรจาเรื่องการค้ากันเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งต้องระวัง หลังบรรลุ กรอบข้อตกลง TikTok เพราะหากมีข้อตกลงกันเพิ่มเติมราคาทองคำจะร่วง
ทั้งนี้มองว่าราคาทองคำแท่งในสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะที่ระดับ 58,500-59,000 บาท แต่จะถึง 60,000 บาท เงินบาทจะต้องอ่อนค่า
โดยแรงหนุนทองคำนอกจากเฟดลดดอกเบี้ยแล้ว อีกปัจจัยที่น่าจับตาคือสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ดูแลสำรองทองคำของรัฐบาลต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสถานะของตนในตลาดทองคำแท่งโลก โดยใช้ตลาดซื้อขายทองคำเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange) ดึงดูด "ธนาคารกลางจากประเทศพันธมิตร" ให้เข้ามาซื้อและเก็บรักษาทองคำแท่งไว้ที่จีน
โดยความพยายามนี้เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และได้รับความสนใจจากประเทศใน "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" อย่างน้อยหนึ่งประเทศ ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมบทบาทของจีนในระบบการเงินโลก รวมถึงเป้าหมายในการสร้างระบบโลกที่พึ่งพาดอลลาร์ และศูนย์กลางเศรษฐกิจตะวันตก เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ลด น้อยลง โดยจีนต้องการเป็นศูนย์กลางการจัดเก็บทองคำสำรองของโลกเหมือนสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า หากเอกชนย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เพียง 1% เข้าสู่ทองคำ จะส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นแตะระดับ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนไม่ควรไล่ซื้อในช่วงที่ราคาสูง เพราะถ้าขายไม่ทันจะขาดทุน ควรแบ่งเป็น 3-5 ไม้ในการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ต
แม้ความเสี่ยงต่างๆ ที่ปกคลุมตลาดอยู่ จะทำให้ราคาทองคำมีโอกาสพุ่งขึ้นได้ต่อเนื่อง แต่คงต้องใช่ความระมัดระวังมากขึ้น จากความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว หากถือครองทองคำในสัดส่วนที่มากเกินไป ความเหวี่ยงของพอร์ตลงทุนทั้งขาขึ้นและขาลง อาจจะทำให้การลงทุนทอง จากสินทรัพย์ปลอดภัย กลายเป็นสินทรัพย์เสี่ยงภัยได้เช่นกัน....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
