"เพชร" ยังน่าลงทุนแค่ไหนในช่วงวิกฤตโควิด-19 ??
"เพชร" เป็นอัญมณีที่สาวๆหลายคนน่าจะชื่นชอบ แต่หากในแง่ของการลงทุนอาจจะคิดว่า การลงทุนเพชรยังเข้าถึงยาก ขึ้นอยู่กับรสนิยมและความชื่นชอบของผู้ลงทุนด้วย ถ้าเปรียบเทียบกับการลงทุนทองคำแล้วจะยังไม่แพร่หลายมากนัก ซึ่งในกลุ่มนักลงทุนจะทราบกันว่า "เพชร" เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความผันผวนในการซื้อขายน้อยกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ แต่ในอีกมุมจะมองว่าเพชรเหมาะที่จะซื้อเพื่อลงทุนระยะกลาง (1-3 ปี) ถึงระยะยาว ช่วง 3 - 5 ปี ขึ้นไป เพราะเป็นระยะที่พอเหมาะหรือจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของราคาเพชรอย่างชัดเจน ผลตอบแทนจึงจะคุ้มค่า ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบความหวือหวา โดยแนวโน้มตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากการลงทุนเพชรเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% เรียกได้ว่าคุ้มค่ากว่าการฝากเงินรับดอกเบี้ยในธนาคาร หรือให้ผลตอบแทนแน่นอนกว่าการลุ้นสลากทุกๆต้นเดือนหรือกลางเดือนก็ได้
ราคาเพชรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น -ผันผวนต่ำ
นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคา "เพชร" โดยปกติแล้วจะปรับขึ้น 5-7% ต่อปี จะขึ้นอยู่กับดีมานด์และซัพพลาย ในช่วงที่มีสถานการณ์โควิดเกิดขึ้นทั่วโลกครั้งแรกในปี ปี 63 หรือในช่วง ก.พ. -มี.ค.63 ทำให้เกิดความวิตกในกลุ่มผู้เจียรนัยเพชรจึงมีการระบายสต็อคที่มีออกมา และด้วยจำนวนซัพพลายที่มีมากในช่วงนั้นส่งผลให้ราคาเพชรปรับตัวลงอยู่ช่วงหนึ่ง หรือเพียง 1-1.5 เดือนเท่านั้น แต่ต่อมา “De Beers” ผู้ผลิตและจำหน่ายเพชรแท้จากธรรมชาติรายใหญ่ของโลกได้ออกมาคุมปริมาณซัพพลายในตลาด ซึ่งได้ช่วยให้ราคาเพชรกลับมาเป็นปกติ และนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี ปี 63 ราคาได้พุ่งขึ้นอีกครั้ง หลังจากดีมานด์ของตลาดเพชรกลับมา โดยเฉพาะ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ที่เป็นตลาดเพชรขนาดใหญ่ของโลก หากนับในช่วงเดือน พ.ค.63 - ม.ค.64 ราคาเพชรปรับพุ่งขึ้นไปถึง 10% ซึ่งสะท้อนได้ว่า แม้ราคาจะเหวี่ยงไปบ้าง แต่ยังถือว่ามีความผันผวนน้อยมาก
นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)
ที่มา : ยูบิลลี่ , Chom PR
เสน่ห์ของการลงทุนเพชรมีอะไรบ้าง
นางสาวอัญรัตน์ บอกว่าเสน่ห์ของเพชรคือ ทั้งได้ใช้ลงทุน และยังได้สวมใส่ด้วย ถึงแม้ว่าจะใช้งานมาแล้วแต่มูลค่าของเพชรก็ยังเติบโตขึ้น ไม่ว่าเพชรนั้นจะเม็ดเล็กหรือเม็ดใหญ่ เพราะเพชรเป็นอัญมณีหรือแร่ที่หายากและคงทน ขณะเดียวกันราคายังผันผวนต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆในตลาด และที่สำคัญราคาเพชรขึ้นอยู่กับ 2 ตัวแปรหลักคือ ดีมานด์ และซัพพลาย
"ลงทุนเพชร" แตกต่างจาก"ลงทุนทองคำ"อย่างไร?
หลายคนอาจจะสงสัยว่า การลงทุนในเพชรแตกต่างหรือคล้ายกันกับการลงทุนทองคำหรือไม่? คำตอบคือ มีทั้งแตกต่างและคล้ายกัน สิ่งที่เหมือนกันคือ มีราคากลาง หากเป็นทองคำโดยหลักๆจะมี Gold spot ที่จะคอยบอกราคากลางของทองคำในตลาดโลก ส่วนเพชร จะมี Rappaport Dimond prize จะมีราคากลางของเพชร ที่นักค้าเพชรจะใช้กำหนดราคาเพชรในตลาด หรือนักลงทุนที่จะใช้ในการพิจารณาเพื่อทำกำไร แต่ความแตกต่างกันคือ ราคาเพชรจะไม่ค่อยปรับขึ้นลงบ่อยครั้งเหมือนอย่างราคาทองคำ ที่อ่อนไหวไปตามอัตราแลกเปลี่ยนหรือปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจต่างๆ ขณะเดียวกันมีการประกาศราคาใหม่ทุกวัน แต่ในส่วนของเพชร โดยปกติจะปรับราคาในช่วงปลายปี หรือในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. ของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลที่ปริมาณความต้องการสูงขึ้นนั่นเอง
ภาพจากเว็บไซต์ https://store.rapaport.com/annual-reports/
ประเด็นต่อมาคือ การซื้อขายเพชรในร้านเพชรจะมีหักค่าเสื่อมราคา เช่นเดียวกันกับทองคำ ที่หากนำไปขายตามร้านทองทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น หากถือเพชรในราคา 30,000 บาท มาแล้ว 5 ปี อาจจะมีหักค่าเสื่อมราคาไปในอัตรา 10% นั่นหมายถึงจะโดนหักไป 3,000 บาท เป็นต้น
หากอยากเทรด หรือซื้อขายเพื่อการลงทุนจริงๆ ควรขายให้บุคคลที่ 3 ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนสามารถซื้อขายเพชรได้ทั่วโลกผ่านช่องทางออนไลน์ แต่จะต้องเป็นเพชรที่มีคุณภาพ มีใบรับรองที่เป็นมาตรฐานสากล หรือเป็นเพชรที่ซื้อจากบริษัทที่น่าเชื่อถือ อยู่ในความต้องการของตลาด โดยสามารถเริ่มต้นจากเพชรขนาดเล็กก่อน หรือขนาด 0.30 กะรัต คิดเป็นมูลค่าอยู่ในระดับหลักหมื่นพอๆกับทองคำ ซึ่งปกติจะมีใบ Certificate หรือใบรับประกันเพชรให้ในขนาดเริ่มต้นดังกล่าว ขณะเดียวกันจะต้องเป็นใบเซอร์มาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับด้วย จึงจะใช้เพื่อการลงทุนหรือนำไปซื้อขายได้
ส่วนผลตอบแทนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับขนาด สเปค ตามระดับคุณภาพที่ผู้ลงทุนเลือกซื้อ
"เพชรเม็ดใหญ่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากกว่าเพชรเม็ดเล็กเสมอไป ขึ้นอยู่กับดีมานด์และซัพพลาย อย่างช่วงที่ผ่านมา เพชรน้ำร้อย น้ำขาวๆ ซัพพลายก็จะมีจำกัด พอซัพพลายมีจำกัดราคาก็จะปรับตัวสูง แต่แน่นอนว่าถ้าเพชรเม็ดใหญ๋ถ้ามองเป็นตัวเงินราคาก็จะสูง คิดเป็นจำนวนเงินก็จะมากกว่า ถ้าตามมาตรฐานโลกจะเริ่มที่ 0.30 กะรัต จึงจะมีใบเซอร์ให้ ส่วนเพชรที่ ยูบิลลี่ จะมีใบ Certificate ระดับโลกให้กับเพชรตั้งแต่ 0.19 กะรัตขึ้นไป สำหรับคนที่มีบัดเจ็ทน้อยก็สามารถเริ่มเก็บสะสมได้" นางสาวอัญรัตน์ กล่าว
ที่มา : ยูบิลลี่ , Chom PR
2 ทริค ที่นักลงทุนเพชรควรรู้
ปัจจุบันนักลงทุนเพชรในบ้านเรา ยังเป็นกลุ่มเฉพาะอาจจะจำกัดอยู่ในกลุ่มที่มีความชื่นชอบส่วนตัวซะมากกว่า เป้าหมายนอกจากจะซื้อไว้เพื่อเป็นเครื่องประดับ หรือเป็นของสะสมแล้ว ผลพลอยได้ก็คือสามารถนำไปลงทุนได้ด้วยราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเพชรที่คุณภาพดี มาจากแหล่งธรรมชาติหายากราคาก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย แต่สิ่งที่นักลงทุนควรรู้เช่นเดียวกับการลงทุนรูปแบบอื่นก็คือ จะต้องศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ที่อยากจะลงทุนให้รอบคอบ ส่วนในเพชรนั้นจะต้องเข้าใจคุณลักษณะที่สำคัญของเพชรคุณภาพและเหมาะแก่การลงทุน ตามหลัก 4 C ได้แก่
1.Cut การเจียระไน
2.Color สี
3.Carat Weight น้ำหนักกะรัต
และ 4.Clarity ความสะอาด
แต่ในกลุ่มนักลงทุนที่อยากจะลองซื้อเพชรเพื่อเก็งกำไรแล้วละก็ ยูบิลลี่ แนะนำทริค 2 ข้อ ได้แก่
1. เลือกไซส์ หรือสเปคที่ซัพพลายมีจำกัดหรือมีน้อย จะทำให้ราคาเพชรปรับตัวสูงเร็ว
2. เลือกเพชรที่มีดีมานด์สูง โดยเพาะ 4 ประเทศที่ตลาดเพชรใหญ่อันดับต้นๆของโลกมีความต้องการ ซึ่งจะช่วยดันราคาให้สูงขึ้นได้มาก
โดยหากสำรวจตลาดเพชรเพื่อการลงทุนในโลกแล้ว ประเทศในแถบเอเชีย อย่างเช่น จีน มีสัดส่วนของการซื้อเพชรเพื่อการลงทุนถึง 50% เพราะส่วนใหญ่เศรษฐีชาวจีนมักจะนิยมซื้อเพชรไว้ทั้งเป็นเครื่องประดับและยังซื้อเพื่อนำมาเก็งกำไรลงทุนอีกด้วย นับเป็นอีกตลาดที่ใหญ่มากในด้านของการลงทุนเพชร
ที่มา : ยูบิลลี่ , Chom PR
การลงทุนในเพชรเรียกได้ว่า เป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะคุณสาวๆที่ชื่นชอบเพชรอยู่แล้ว หากจะลองนำเพชรที่เราซื้อเก็บสะสมไว้ในกรุนำมาลงทุน หรือขายทำกำไรบ้างก็น่าจะดีไม่น้อย ยิ่งช่วงโควิดที่ราคาหลักทรัพย์อื่นๆค่อนข้างผันผวน มีความเสี่ยงสูงแต่เพชรถือว่ายังมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น เพชรน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีถ้าต้องการจะลงทุนแบบไม่เจ็บตัว