รีเซต

อย.สหรัฐฯ เตรียมพิจารณาฉีด "ไฟเซอร์" ให้เด็กอายุ 5-11 ปี

อย.สหรัฐฯ เตรียมพิจารณาฉีด "ไฟเซอร์" ให้เด็กอายุ 5-11 ปี
TNN ช่อง16
27 ตุลาคม 2564 ( 09:20 )
45

วันนี้( 27 ต.ค.64) FDA กำหนดวันที่ 26 ตุลาคม ตามเวลาในท้องถิ่นเพื่อประชุมหารือเรื่องการขอใช้วัคซีนของไซเฟอร์ เป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ซึ่งหากทาง FDA การอนุมัติการใช้วัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคให้กับเด็กกลุ่มนี้ จะเป็นก้าวที่สำคัญในการให้เด็กราว 28 ล้านคนในสหรัฐฯเข้าถึงวัคซีนโควิดได้ จากที่เด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เริ่มกลับเข้าไปเรียนในสถานศึกษากันแล้ว ขณะที่ทางทำเนียบขาว ยืนยันว่า มีปริมาณวัคซีนเพียงพอกับเด็กกลุ่มนี้

คณะกรรมการที่ปรึกษาของ FDA มีมติเป็นเอกฉันท์ โดยงดออกเสียง 1 เสียง ว่า ประโยชน์ของวัคซีนในการป้องกันไวรัสโควิด ในเด็กกลุ่มนี้มีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งรวมทั้งผลข้างเคียงเกี่ยวกับหัวใจที่เกิดขึ้นได้น้อยมากในวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว แม้การใช้วัคซีนในปริมาณที่มากขึ้น 

แม้ปัจจุบันจะมีเด็กเล็กที่ป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโควิด-19 ในสัดส่วนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนวัยผู้ใหญ่ แต่หัวหน้าฝ่ายวัคซีนของ FDA นพ. ปีเตอร์ มาร์กส กล่าวต่อ ที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาของ FDA ว่า โควิด-19 เป็น 1 ใน 10 สาเหตุการเสียชีวิตของเด็กในสหรัฐฯ

โดยตอนนี้มีเด็กราว 1.9 ล้านคน ในช่วงอายุ 5-11 ปี พบติดเชื้อโควิด-19 ราว 8,300 รายต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่สหรัฐฯ และเกือบ 100 คนเสียชีวิตเพราะโควิด-19 อีกทั้งการระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเด็กกลุ่มนี้ด้วย อีกด้านหนึ่ง ทางคณะกรรมการที่ปรึกษาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ หรือ CDC มีวาระการหารือเพื่อพิจารณาแผนอนุมัติการฉีดวัคซีนในเด็กกลุ่มนี้ช่วงสัปดาห์หน้าเช่นกัน

ด้านบริษัทโมเดอร์นา เผยผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 กับเด็กอาสาสมัครกว่า 4,700 คน โดยให้วัคซีนโควิดชนิด 2 โดส แต่ใช้ปริมาณวัคซีนเพียงครึ่งโดสของผู้ใหญ่ และทิ้งระยะห่างกันระหว่างโดสเป็นเวลา 28 วัน พบว่า วัคซีนสามารถกระตุ้นระดับแอนติบอดีของเด็ก ให้สูงเท่ากับระดับของผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนครบโดส

ส่วนเรื่องผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิด-19 ต่อเด็กกลุ่มนี้ พบว่า มีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น อาการเหนื่อยล้า ปวดศีรษะ มีไข้ และอาการปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ ทางโมเดอร์นา เตรียมส่งรายงานผลการทดสอบดังกล่าวให้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA และหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาทั่วโลก เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาการอนุมัติการใช้วัคซีนเพื่อการฉุกเฉินต่อไป


ภาพจาก TNN Online/AFP

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง