ขึ้นภาษีภาพยนตร์ต่างชาติ 100% ใครกระทบบ้าง?

◾️◾️◾️
🔴 อ้างเป็นภัยคุกคามต่อประเทศ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โพสต์ผ่าน truth social ของเขาเองเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยบอกว่า จะจัดเก็บภาษีภาพยนตร์ต่างชาติ 100% เนื่องจากเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ โดยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรต่อ
แม้รายละเอียดจะยังคลุมเครือ แต่มาตรการขู่นี้ก็ก่อให้เกิดคำถามมากมาย หากการเก็บภาษีนี้ถูกบังคับใช้จริง จะส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศต่าง ๆ ประเทศใดบ้างที่ได้รับผลกระทบหนัก มีแนวโน้มตอบโต้จากฝ่ายถูกเก็บภาษีอย่างไร และราคาตั๋วหนังในสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างไร
ทรัมป์ยังบอกอีกว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอเมริกากำลังจะตายอย่างรวดเร็ว ประเทศอื่น ๆ กำลังเสนอสิ่งจูงใจทุกรูปแบบเพื่อดึงดูดผู้สร้างหนังให้หนีออกจากสหรัฐฯ
นี่เป็นความพยายามร่วมกันของชาติอื่น ๆ และจึงถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมทั้งระบุว่าภาพยนตร์ต่างชาติเป็น “เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ”
ทรัมป์ยังสั่งให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เริ่มกระบวนการเก็บภาษี 100% กับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศด้วย
◾️◾️◾️
🔴 ทำเนียบขาวเผย ยังไม่ตัดสินใจ
ประกาศออกมาไม่ทันไร ทำเนียบขาวก็ออกมาลดความรุนแรงของกระแสข่าวลง โดยบอกว่า เรื่องนี้ยังไม่มีการตัดสินใจใด ๆ แต่จะพยายามทำทุกทางอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งวงการหนังฮอลลีวูด
ขณะที่ ‘เกวิน นิวซอม’ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียก็ออกมาประกาศว่าเขาต้องการผลักดันเครดิตภาษีระดับชาติวงเงิน 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 2.44 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมบันเทิง โดยจะร่วมมือกับรัฐบาลของทรัมป์อย่างแน่นอน
◾️◾️◾️
🔴 ภาพยนตร์ต่างประเทศ คืออะไร?
นี่คือคำถามสำคัญ เพราะในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจ ภาพยนตร์ในปัจจุบันมักไม่ได้ถ่ายทำแค่ใดประเทศเดียวอีกต่อไป แม้แต่หนังฮอลลีวูด ก็มีไปถ่ายทำในต่างประเทศ เพราะค่าแรงถูกกว่า รวมทั้งความสะดวกสบายเรื่องสถานที่ เช่น
-ภาพยนตร์เรื่อง Wicked (2024) ผลิตโดยสตูดิโออเมริกันแต่ถ่ายทำที่สหราชอาณาจักร
-Barbie (2023) ฉากบ้านในฝันสุดสีชมพูสร้างในสตูดิโออังกฤษ สร้างรายได้กว่า 80 ล้านปอนด์ หรือมากกว่า 3,400 ล้านบาทให้อังกฤษ
-Wonka (2023) ถ่ายทำในสตูดิโอเดียวกันกับ Barbie
อีกหลายเรื่องอย่าง The Fall Guy, Kingdom of the Planet of the Apes ก็ถ่ายทำในออสเตรเลีย ซึ่งให้เงินสนับสนุนสูงถึง 30% ผ่านระบบ “Location Offset” เช่นเดียวกับนิวซีแลนด์ที่มีมาตรการคล้ายกัน
ในทางกลับกัน ภาพยนตร์ต่างประเทศหลายเรื่อง ก็ยกกองถ่ายมาถ่ายหนังกันที่อเมริกา เช่น หนังอินเดีย
ภาพยนตร์บอลลีวูดที่ประสบความสำเร็จในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาใช้สะพานบรูคลิน ชายหาดไมอามี และย่านต่าง ๆ ในชิคาโกเป็นฉากหลังสำหรับเนื้อเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่ภาพยนตร์รักโรแมนติกไปจนถึงการปล้นสะดม ซึ่งช่วยเพิ่มความดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวอินเดียให้มาเยี่ยมชมเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าภาพยนตร์ต่างชาติ ที่มาถ่ายทำกันในอเมริกา จะจัดอยู่ในประเภทภาพยนตร์ต่างประเทศและต้องโดนเก็บภาษี 100% ด้วยหรือไม่ หากโดนเก็บ ก็คงไม่มีหนังต่างประเทศเรื่องไหน อยากจะยกกองถ่ายมาถ่ายหนังในอเมริกา
◾️◾️◾️
🔴 แล้วภาพยนตร์ต่างชาติพึ่งพาสหรัฐฯ มากน้อยแค่ไหน?
-อินเดีย: ภาพยนตร์อินเดียทำรายได้ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 3,200 ล้านบาท จากตลาดอเมริกา เช่น Dangal (แดนกัล)(2016) กวาด 12.4 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 404 ล้านบาท ในสหรัฐฯ และแคนาดา
-สหราชอาณาจักร: Paddington in Peru ทำรายได้กว่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 1,468 ล้านบาทในอเมริกา
-เกาหลีใต้: The King of Kings (2024) ทำรายได้ 54.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 1,785 ล้านบาท แซงหน้า Parasite 53.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 1,756 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าอเมริกาเองก็เป็นตลาดใหญ่สำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภาพยนตร์จากจีนแทบไม่พึ่งตลาดอเมริกาเลย เนื่องจากตลาดในประเทศจีนก็ใหญ่มาก ๆ อยู่แล้ว
-Ne Zha 2 (2024) อนิเมชันสัญชาติจีนที่ดังมาก ๆ ในปีนี้ ทำรายได้ 1,900 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 62,000 ล้านบาท จากจีนเพียงอย่างเดียว
-Yolo (2024) รายได้ทั่วโลกสูงลิ่ว แต่ทำรายได้ในสหรัฐฯ เพียง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 65 ล้านบาทเท่านั้น
◾️◾️◾️
🔴 แล้วปฏิกิริยาของชาติอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้าง?
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศยอดนิยมที่หนังฮอลลีวูด มักยกกองถ่ายไปที่นั่น เพราะได้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง ไม่เห็นด้วยกับมาตรการของทรัมป์
-ออสเตรเลีย: รัฐมนตรีด้านศิลปะโต้ทันทีว่า “ออสเตรเลียจะปกป้องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเราอย่างเต็มที่”
-นิวซีแลนด์: นายกรัฐมนตรี คริสโตเฟอร์ ลักซอน ระบุว่า “ยังต้องรอดูรายละเอียดต่อไป”
-สหราชอาณาจักร: สหภาพแรงงานสื่อและบันเทิงแห่งสหราชอาณาจักรเรียกร้องรัฐบาลให้ปกป้องวงการภาพยนตร์
◾️◾️◾️
🔴 ฮอลลีวูดกำลังจะตายอย่างที่ทรัมป์ว่าจริงหรือไม่?
ตอนนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐฯ เผชิญปัญหาหลายระลอก
-รายได้ปี 2024 อยู่ที่ 30,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 9.7 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2023 ราว 7% และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิด-19 ถึง 20%
-การประท้วงของนักแสดงและนักเขียนบท เมื่อปี 2023 เพื่อเรียกร้องให้มีสภาพการทำงานที่ดีขึ้นและปกป้องการใช้งาน AI อย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น ส่งผลให้สตูดิโอบางแห่งต้องปิดตัวลง ขณะที่บางแห่งก็ลดจำนวนพนักงานลง
-ไฟป่าที่ลอสแอนเจลิสเมื่อต้นปี 2024 สร้างความเสียหายให้โลเคชั่นถ่ายทำ
-การเคลื่อนไหว Stay in LA ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการผลิตไว้ในรัฐ โดยเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติของรัฐแคลิฟอร์เนียและผู้ว่าการนิวซัมออกมาตรการต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นแรงจูงใจทางภาษีเพื่อให้การดำเนินการนี้เกิดผลสำเร็จ โดยเหตุผลก็คือฮอลลีวูดเต็มไปด้วยคนงานชนชั้นกลาง คนงานชั่วคราว และธุรกิจในท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของการผลิต