บล.กสิกรฯคาด รบ.ใช้วิธีผสมผสาน งบประมาณและเงินกู้ ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
#ดิจิทัลวอลเล็ต #ทันหุ้น - บล.กสิกรไทย ระบุว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เผยตัวชี้วัดทางการคลังของไทยทั้งหมดยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่อย่างไรก็ดีทาง สบน. ยังไม่ได้มีแผนที่จะเพิ่มวงเงินหนี้สาธารณะ และแม้ว่าหนี้สาธารณะต่อ GDP ไทยจะสูงขึ้น แต่คาดบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือยังไม่ปรับลดอันดับไทย เนื่องจากมักให้น้ำหนักกับการบริหารหนี้และแนวโน้มยาว
บล.กสิกรฯเชื่อว่ารัฐบาลจะใช้วิธีแบบผสมผสานโดยการจัดสรรมาจากเงินงบประมาณเดิม และการกู้ยืมใหม่บางส่วนเพื่อนำมาเป็นวงเงินให้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
Key highlight
ตัวชี้วัดทางการคลังไทยทั้งหมดยังคงอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง สบน. เปิดเผยว่า ตัวชี้วัดทางการคลังทั้งหมดยังคงอยู่ในกรอบพระราชบัญญัติวินัยการคลังและการคลัง (ปี 2564) เช่น หนี้สาธารณะต่อ GDP < 70% (รายงาน ~ 60%) อัตราภาระหนี้สาธารณะต่อรายได้ < 35% (รายงาน ~ 30%) หนี้สกุลเงินต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด < 10% (รายงานน้อยกว่า 2%) และภาระหนี้สกุลเงินต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ < 5% (รายงาน ~0.05%)
ไม่มีแผนเพิ่มวงเงินหนี้สาธารณะแม้ว่าตัวชี้วัดทางการคลังทั้งหมดจะอยู่ในกรอบข้อบังคับทางกฏหมาย แต่ตลาดมีความกังวลว่ารัฐบาลใหม่จะใช้มาตรการคลังขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการขาดดุลงบประมาณมากขึ้นและส่งให้ผลต่อสถานะทางการเงินสาธารณะ อย่างไรก็ตาม สบน. กล่าวว่าไม่มีแผนที่จะเพิ่มหนี้สาธารณะเพื่อใช้สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะจัดสรรวงเงินจากรายจ่ายอื่นๆในงบประมาณไม่จำเป็น เพื่อสนับสนุนโครงการเงินดิจิทัล
มองไทยไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ อัตราส่วนหนี้สาธารณะของไทยต่อ GDP อาจสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค แต่หนี้สาธารณะส่วนใหญ่ของเราเป็นหนี้ที่มีคุณภาพดีเนื่องจากใช้สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านต้นทุนหนี้สาธารณะโดยเฉลี่ยอาจปรับเพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่ สบน. เชื่อว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. และความกลัวต่อความสี่ยงด้านนโยบายได้สะท้อนรวมอยู่ในตลาดแล้ว ในขณะเดียวกัน การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยมองยังไม่น่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือส่วนใหญ่ให้น้ำหนักกับวิธีการบริหารนโยบายการคลัง และแนวโน้มหนี้สาธารณะในระยะยาวมากกว่า ซึ่ง สบน.มองว่านโยบายและการบริหารจัดการต่างๆปัจจุบันมีความเหมาะสม
มาตรการในอดีตมีตัวคูณทางการคลังประมาณ 1 เท่า สบน. ไม่ได้ประมาณการตัวคูณการใช้จ่ายทางการคลัง แต่ยกตัวอย่างให้ว่าตัวคูณการใช้จ่ายทางการคลังจากมาตรการแจกเงินล่าสุดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของรัฐบาลชุดเก่าอยู่ที่ประมาณ 1 เท่า อย่างไรก็ดี สบน. ประเมินว่าหากเศษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ตามที่คาด เรื่องประเด็นหนี้สาธารณะจะไม่น่ากังวล และคาดอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ 63-64%ในระยะข้างหน้า
Key highlight
คาดเลือกใช้แนวทางแบบผสมผสาน บล.กสิกรฯเชื่อว่าทิศทางนโยบายการคลังไทยจะชัดเจนในวันที่ 23-24 ต.ค. นี้ ว่ารัฐบาลจะใช้แหล่งเงินทุนสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วยการกู้ยืมใหม่หรือจัดสรรใหม่จากรายจ่ายไม่จำเป็น แม้ว่าวิธีการจัดสรรจากงบประมาณเดิมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับฐานะทางกรคลังของประเทศ แต่การจัดสรรงบประมาณ 5-6 แสนลบ.ซึ่งคิดเป็นเกือบ 20% ของงบประมาณการคลังอาจเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ แต่หากรัฐบาลเลือกที่จะระดมทุนเต็มจำนวนด้วยการกู้ยืมใหม่ อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น และกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น
อย่างไรก็ดี บล.กสิกรฯเห็นมองผลกระทบเชิงลบเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีแนวโน้มที่จะสร้างผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจเนื่องจาก GDP คาดจะขยายตัวได้ดี และตลาดน่าจะได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการระดมทุนด้วยวิธีแบบผสมผสานด้วยการจัดสรรงบประมาณเดิม และการกู้ยืมใหม่บ้างบางส่วนมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้มากสุด ในเบื้องต้น คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงส่งจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจากการใช้จ่ายทางการคลังจำนวนมาก ผลักดันให้ GDP เติบโตสู่ระดับ 4-6% ในปี 2567 โดยบล.กสิกรฯมองความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นอาจเริ่มตอบสนองเชิงบวกได้ในช่วงปลายๆปี 2566 ถึงต้นปี 2567