เมย์แบงก์ส่องหุ้นกลุ่มไหนรับผลกระทบ จากกรณีไทยปะทะกัมพูชา แนะกลยุทธ์ลงทุน

#ทันหุ้น-บล.เมย์แบงก์(ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน จากกรณีชายแดนไทยกับกัมพูชามีการปะทะหนัก ซึ่งสถานการณ์ความตึงเครียดยังทวีความรุนแรงจนนำไปสู่การปะทะทางทหารระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งด้านผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนประเมินว่าอาจกระทบโดยตรงต่อบริษัทที่มีรายได้จากกัมพูขา โดยเฉพาะ CBG ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาราว 13-14% ของรายได้รวม อย่างไรก็ตามบริษัทระบุว่าการขนส่งทางเรือยังคงดำเนินได้ตามปกติและยังไม่พบกระแสด้านสินค้าไทยจากผู้บริโภคกัมพูชา
สำหรับกลุ่มอื่นๆ ที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาน้อย คาดว่าผลกระทบจะอยู่ในเชิง Sentiment มากกว่าเช่น
• กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม: ICHI มีสัดส่วน 2–3%, OSP ไม่ถึง 5%
• กลุ่มพลังงาน: PTT ขายผลิตภัณฑ์คิดเป็น 0.5% ของรายได้รวม, OR 2.5%
• กลุ่มโรงพยาบาล: BDMS และ BH มีรายได้จากผู้ป่วยกัมพูชา 3%, BCH 1.7%, CHG 1%, PR9 1%
• กลุ่มค้าปลีก: GLOBAL 2%, ขณะที่ CPALL, CPAXT, BJC มีสัดส่วนต่ำกว่า 1% (ยอดขายสาขาตามแนวชายแดน อาจได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มีนัยสำคัญ)
• กลุ่มท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยวจากกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 1.6% ของนักท่องเที่ยวรวม และมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2566
• กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง: มีการใช้แรงงานกัมพูชาค่อนข้างน้อย จึงประเมินว่าผลกระทบยังไม่มีนัยสำคัญ
กลยุทธ์การลงทุน
ฝ่ายวิจัยเมย์แบงก์ ประเมินว่า ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบจากัดต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนโดยรวม แม้จะมีแรงกดดันเชิง Sentiment ต่อตัวหุ้นบางกลุ่มที่มีรายได้จากกัมพูชา ดังนั้นหากราคาหุ้นปรับลดลงเกินกว่าสัดส่วนรายได้ที่ได้รับจากกัมพูชา จึงมองเป็นโอกาส สำหรับการทยอยสะสมในเชิงกลยุทธ์ได้ ขณะที่ในมุมมองการลงทุน ยังคงเน้น Theme การเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่ากำไรไตรมาส 2/68 จะออกมาดี และราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีอยู่ในกลุ่ม Laggard โดยชอบ CHG, OSP, SCGP และ CKP
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
