รีเซต

ถึงเวลาหนีหุ้นสหรัฐฯ ซบหุ้นปันผลไทย-ต่างประเทศ

ถึงเวลาหนีหุ้นสหรัฐฯ ซบหุ้นปันผลไทย-ต่างประเทศ
TNN ช่อง16
23 กรกฎาคม 2568 ( 10:35 )
14

เริ่มต้นไตรมาส 3/2025 ตลาดหุ้นทั่วโลกเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง จากความคาดหวังว่าสงครามการค้าจะผ่อนคลายลงและเกิดข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นทำ All time high อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับระดับ Forward PE ที่สูงถึง 22 เท่า สูงสุดในรอบ 10 ปี

               อย่างไรก็ตาม ทิศทางของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ กลับไม่สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2025 ของบริษัทในดัชนี S&P500 จะอ่อนแอที่สุดในรอบ 2 ปีหรือจะเติบโตขึ้นเพียงแค่ 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การถือหุ้นสหรัฐฯ เพื่อรอลุ้นผลประกอบการจึงมีความเสี่ยงกว่าครั้งอื่น ๆ นักลงทุนควรใช้โอกาสช่วงนี้ขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ และโยกย้ายเงินไปลงทุนในหุ้นกลุ่ม High Dividend ทั่วโลก ซึ่งมี Valuation ถูกกว่า ผลประกอบการมีความแข็งแกร่ง รวมทั้งยังมีการจ่ายปันผลที่สูงและสม่ำเสมอ เช่น หุ้นกลุ่ม Healthcare, Consumer Staples และ Financials

               หากพิจารณา Valuation ของหุ้นกลุ่ม Global High Dividend เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นโลก พบว่าหุ้นปันผลสูงทั่วโลกยังซื้อขายในระดับที่ Discount ดัชนีหุ้นโลกอยู่มากถึง 25% ใกล้เคียงกับช่วงหลังวิกฤต COVID-19 ทำให้หุ้นกลุ่ม Global High Dividend มี Downside risk ที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังตามที่ตลาดคาด อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้าหุ้นกลุ่มปันผลสูงมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา Fund Flows ก็ได้เริ่มไหลเข้าลงทุนกองทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ทั่วโลกสูงถึง 2.37 หมื่นล้านดอลลาร์ มากที่สุดในรอบ 3 ปี

ตัดภาพกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มี Dividend Yield สูงสุดอีกแห่งหนึ่งของโลกในเวลานี้ นับตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงติด Top3 ของโลก หากพิจารณา Valuation ของหุ้นกลุ่ม High Dividend ของไทยผ่านดัชนี SETHD ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอย่างเช่น ธนาคาร สื่อสารและพลังงาน ถือว่าหุ้นกลุ่มนี้กำลังอยู่ในจุดที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

เริ่มจากผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ปัจจุบันหุ้นกลุ่ม High Dividend อยู่ในระดับประมาณ 7% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลครั้งแรก นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มนี้ยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี สะท้อนจากค่า Price to Book Value (PBV) ประมาณ 0.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมากถึง 35% และยังต่ำกว่าจุดต่ำสุดช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชี (PBV 1 เท่า) เท่านั้น ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า หุ้นไทย High Dividend อยู่ในระดับ Deep Discount และมี Downside risk ที่จำกัด 

หากนำ Dividend Yield ของดัชนี SETHD ที่ระดับ 7% มาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ที่อยู่ในระดับเพียงแค่ราว 1.5% จะเห็นว่า ส่วนต่างของผลตอบแทน (Dividend Yield Gap) ระหว่างทั้งสองสินทรัพย์ต่างกันมากถึง 5.5% เป็นส่วนต่างที่กว้างที่สุดในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในอนาคตเม็ดเงินมีโอกาสไหลกลับเข้าไปลงทุนในหุ้น High Dividend ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หาก กนง. มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 4 ครั้งในช่วง 1 ปีข้างหน้า จากระดับ 1.75% สู่ระดับ 0.75% ตามที่ TISCOESU คาดการณ์ หุ้นปันผลสูงจะเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยต่ำในไทยและมี Upside ที่สูงจากราคาปัจจุบัน

ในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนของผลประกอบการ ประกอบกับ Valuation ที่เริ่มกลับเข้าสู่โซนแพงอีกครั้ง นักลงทุนควรทยอยลดสัดส่วนในหุ้นสหรัฐฯ และปรับพอร์ตเข้าลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มี Valuation ไม่แพง ความผันผวนต่ำและมีการจ่ายเงินปันผลที่งดงาม รวมถึงยังมีโอกาสทำกำไรในภาวะดอกเบี้ยขาลงระยะข้างหน้า

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง