รีเซต

สภาพัฒน์ชี้GDPไทยหยุดชะงัก โครงสร้างพื้นฐาน-ภาครัฐฉุดรั้ง

สภาพัฒน์ชี้GDPไทยหยุดชะงัก โครงสร้างพื้นฐาน-ภาครัฐฉุดรั้ง
ทันหุ้น
29 กันยายน 2568 ( 18:13 )

#สภาพัฒน์ #ทันหุ้น – สภาพัฒน์ เผยการขยายตัวของ GDP ไทยโตต่ำกว่า 5% อย่างต่อเนื่องตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 จนถึงปัจจุบันฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) มีเงินลงทุนกว่า 1ล้านล้านบาท ซึ่งยังไม่เห็นผลจากการลงทุนและห่างไกลจากเป้าหมาย เนื่องจากลงทุนแต่เรื่องเดิมๆ ไม่มีการลงทุนใหม่ ทำให้ความสามารถการแข่งขันของไทยลดลง โดยมีตัวฉุดรั้งหลัก คือ เรื่องโครงสร้างพื้นฐานและประสิทธิภาพภาครัฐ

ดร.ศุภวุฒิ  สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค แต่ที่ผ่านมาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ต่ำกว่า 5% ต่อเนื่องตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 และความสามารถในการแข่งขันถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ   

“ประเทศไทยไม่อาจพัฒนาไปได้ไกล หากยังคงมีโครงสร้างที่บิดเบี้ยวและกลไกเชิงสถาบันที่อ่อนแอ ถึงเวลาแล้วที่เราต้อง ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น สร้างความหวัง และปลดล็อกศักยภาพการแข่งขันของประเทศ” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว

@เงิน 1 ล้านลบ. ไม่เห็นผล

นายดนุชา  พิชยนันท์  เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) ซึ่งแผนนี้ได้ดำเนินมาแล้ว 2 ปีครึ่ง นับตั้งแต่ปี 2566 โดยมี 5 เป้าหมายหลักที่สำคัญในการพัฒนา ได้แก่ 1.การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม 2.การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ 3.การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม 4.การเปลี่ยนผ่านการผลิตและบริโภคไปสู่ความยั่งยืน 5.การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาการทำงานของภาครัฐในการขับเคลื่อนแผน พบว่า งบประมาณแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับแผน 13 (ตามข้อมูลที่หน่วยงานตรวจสอบ) เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาทต่อปี  มีโครงการที่ดำเนินการไปประมาณ 9,132 โครงการ และมีแผนปฏิบัติการระดับ 3 ประมาณ 1,230 แผน ในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา

แต่ผลจากการลงทุน 1 ล้านล้านบาทต่อปี กลับพบว่า 5 เป้าหมายหลัก ยังห่างไกลกับคำว่าสำเร็จเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ตั้งเป้ารายได้ประชาชาติต่อหัวไม่ต่ำกว่า 9,300 ดอลลาร์สรอ.ต่อปี (300,000 บาทต่อปี) ภายในปี 2570 ซึ่งปีในปี 2567 ทำได้ 7,4975 ดอลลาร์สรอ.ต่อปี (264,661.1 บาทต่อปี)

@ขาดการลงทุนแบบใหม่

หากดูรายละเอียดการใช้จ่าย 1 ล้านล้านบาทต่อปี พบว่ามากกว่า 50% เป็นค่าใช้จ่ายด้าน การประกันสุขภาพล่วงหน้า, การรักษาพยาบาล, สวัสดิการสังคม, การศึกษาที่ทั่วถึง, การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง และอีกประมาณ 18% เป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานประจำ และอีกประมาณ 10% อยู่ในภาคเกษตร

ส่วนใหญ่เป็นการสนับสนุนด้านซัพพลาย เช่น ขุดอ่างเก็บน้ำ, ขุดบ่อน้ำ และการแจกเมล็ดพันธุ์ แต่ไม่มีเรื่องของการเพิ่มผลิตภาพ หรือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต, หรือการแปรรูปไปสู่สินค้ามูลค่าสูง รวมถึงไม่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Wellness หรือ Medical Industry สรุปได้ว่าการทำงานที่ผ่านมาเป็นงานปกติ ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่จะขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้สูงขึ้น

อีกทั้งยังมองว่าการพัฒนาของไทยอาจจะหยุดชะงักมานานแล้ว เนื่องจากทำเรื่องเดิมและไม่มีการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ต่ำกว่า 5% มาตลอด ซึ่งไม่เพียงพอที่จะผลักดันให้ประเทศก้าวสู่ประเทศรายได้สูง ดูได้จากอันดับความสามารถในการแข่งขัน IMD ของไทย ในปี 2567 ปรับลดลง 5 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 30 จาก 69 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ โดยสิ่งที่ฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันเป็นอย่างมากคือ 2 เรื่อง ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและประสิทธิภาพภาครัฐ

@การแก้ไขปัญหา

นายดนุชากล่าวย้ำว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างและกลไกเชิงสถาบันเป็นโจทย์ที่ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป ประเทศไทยต้อง “กล้า” ที่จะเปลี่ยนแปลง เพื่อผลักดันการพัฒนาให้เดินหน้า ภายใต้กรอบ D-A-R-E to Reform ได้แก่ D – Determination : ความมุ่งมั่นตั้งใจ, A – Action Together : การลงมือร่วมกันจากทุกภาคส่วน, R – Redesign Innovation : การออกแบบกติกาและนวัตกรรมเชิงสถาบันใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และE – Emergency Mindset : การตระหนักถึงความเร่งด่วน ต้องดำเนินการทันที ไม่ผลัดผ่อน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง