SATโกยรายได้อีวี200ล. ซุ่มคุยพันธมิตรต่อยอด

#SAT #ทันหุ้น – SATตั้งเป้าโกยรายได้ธุรกิจ EV ปีนี้ราว 100-200 ล้านบาท หลังเดินหน้าเรื่องตลาด E-TUK โอกาสเติบโต พร้อมเจรจาพันธมิตรเดินหน้าเรื่อง EV Platforms มั่นใจผลงานปี 2566 โตมากกว่าอุตสาหกรรม ลุยส่งออเดอร์เพิ่มขึ้น ขณะที่อุตสหากรรมเติบโตขึ้นยอดผลิตที่ 1.9 ล้านคัน ฟากโบรกมองกำไรไตรมาส 4/2565 ที่ 233 ล้านบาท เชียร์ซื้ออัพเป้าหมายใหม่ 25.25 บาท
ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT เปิดเผยว่า สำหรับปี 2566 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้จากธุรกิจอีวี เข้ามาราว 100-200 ล้านบาท หลังเดินหน้าในเรื่องของ EV Platforms ที่ผ่านมา บริษัท สมบูรณ์ ทรอน เอนเนอร์จี (STRON) และ บริษัท E-Tuk Factory (ETF) ได้ร่วมมือในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและการพัฒนาตลาดสำหรับ E-TUK เพื่อเจาะอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการบริการในประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงเทคโนโลยีระบบ SMART แบตเตอรีพร้อมการติดตามอัจฉริยะ พร้อมตอบสนองการเติบโตความต้องการรถสามล้อไฟฟ้า ดังนั้นคาดว่าปีนี้จะเริ่มเห็นรายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง 2566
*ธุรกิจอีวีทำรายได้
นอกจากนี้ยังมีการเจรจากับพันธมิตรในการขยายธุรกิจร่วมกันด้วยซึ่งจะเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของกลุ่ม EV Platforms ต่อไป โดยบริษัทมีเป้าหมายในระยะ 5 ปี ที่จะผลักดันรายได้จากธุรกิจใหม่ให้เติบโต จะเน้นในหลายกลุ่ม รวมไปถึงแผนการขยายในส่วนของรถบัสไฟฟ้า (E-bus) ด้วย
*รายได้โตกว่าอุต
ทั้งนี้ปีนี้ คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม ยอดผลิตรถยนต์ปี 2566 คาดจะเติบโตต่ออีก 5.5% สู่ระดับ 1.9 ล้านคัน หลังปี 2565 เติบโต 6.7% สู่ระดับ 1.8 ล้านคัน โดยปีนี้จะเห็นการเติบโตของอุตสาหกรรม อีกทั้งคาดว่าจะมีการส่งมอบออเดอร์ให้แก่ลูกค้ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งจะมารองรับการเติบโตของบริษัท และยังมีการเจรจาออเดอร์ใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดกำไรในไตรมาส 4/2565 จะเพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน แต่จะลดลง 10% จากไตรมาสก่อนหน้า อยู่ที่ 233 ล้านบาท นอกจากนี้ SAT ถือหุ้น 60% ใน JV ที่มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดย Tron E ถือหุ้น 40% ซึ่ง JV แห่งนี้จะเน้นพัฒนา Platform EV โดยผลิตภัณฑ์ตัวแรกจะเป็นรถสามล้อไฟฟ้า คาดว่าธุรกิจนี้จะเพิ่มยอดขายประมาณ 100 ล้านบาทในปี 2566
*เป้าหมาย 25.25 บาท
ทั้งนี้บริษัทประเมินว่าปริมาณยอดขายชิ้นส่วนเครื่องจักรทางการเกษตรจะทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน ในปี 2566 อยู่ที่ 90,000 เครื่อง ในขณะเดียวกัน มองว่ามีความเสี่ยงที่ราคาเหล็กรีดร้อน (Hot-Rolled Coil หรือ HRC) จะแพงขึ้นเพราะอุปสงค์ HRC น่าจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่จีนกลับมาเปิดประเทศ โดยมีการปรับลดประมาณการกำไรปี 2565 และ 2566 ลง 3% และ 2% เหลือ 950 ล้านบาท และ 1.08 พันล้านบาท ตามลำดับ หลังจากที่ปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2565 ลงจาก 19.0% เหลือ 18.7% และปรับลดสมมติฐานอัตราการเติบโตของอะไหล่เครื่องจักรทางการเกษตรปี 2566 ลงจาก 10% เหลือ 0%
ขณะที่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 25.25 บาท อิงจาก EPS ปี 2566 ที่ 10.0 เท่า ปริมาณยอดขายรถแทรกเตอร์ที่ชะลอตัวและราคาเหล็กที่แพงขึ้นต้องติดตาม อย่างไรก็ดีบริษัทประเมินว่าปริมาณยอดขายชิ้นส่วนเครื่องจักรทางการเกษตรจะทรงตัว จากปีก่อนในปี 2566 อยู่ที่ 90,000 เครื่อง ในขณะเดียวกันมองว่ามีความเสี่ยงที่ราคาเหล็กรีดร้อน (Hot-Rolled Coil หรือ HRC) จะแพงขึ้นเพราะอุปสงค์ HRC น่าจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่จีนกลับมาเปิดประเทศ