รีเซต

สหรัฐกดราคาเหล็กต่ำ เข้าทาง2รับเหมายักษ์

สหรัฐกดราคาเหล็กต่ำ เข้าทาง2รับเหมายักษ์
ทันหุ้น
6 มิถุนายน 2568 ( 07:40 )
8

#CK #STECON #ทันหุ้น – ส่องผลกระทบจากสหรัฐ ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่มขึ้นเป็น 50% จาก 25% กดราคาเหล็กใกล้ระดับต่ำสุด เข้าทาง 2 รับเหมายักษ์ที่จะมีต้นทุนลดลง ขณะที่งานประมูลสูง แข่งขันลดลง ขณะที่อสังหาริมทรัพย์แม้ต้นทุนลด แต่ต้องติดตามความสามารถในการรีไฟแนนซ์หนี้ ส่งหุ้น CK ปีนี้ผลงานดี แบ็กล็อกสูง เป้า 20 บาท


ราคาเหล็กเส้นล่วงหน้าต้นเดือนมิถุนายนซื้อขายที่ระดับ 2,950 หยวนต่อตัน ซึ่งอยู่ใกล้กับระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนกันยายนของปีที่แล้ว โดยได้รับแรงกดดันหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กเป็นสองเท่าเป็น 50%  เพิ่มแรงกดดันต่อราคาเหล็กในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ซึ่งเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการทางการค้านี้มากที่สุด นอกจากนี้ราคาเหล็กยังเผชิญกับความกังวล จากกิจกรรมการผลิตของจีนหดตัวอย่างไม่คาดคิดในเดือนพฤษภาคม โดยดัชนี Caixin แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี   


นายกิจพณ  ไพรไพศาลกิจ  ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัท หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า หลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ปรับอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่มขึ้นเป็น 50% จาก 25% ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือ การที่เหล็กจีนจะไหลเข้ามาที่ไทยมากขึ้น แต่ยังมีประเด็นความกังวลเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพของเหล็ก โดยเฉพาะหลังจากมีกรณีตึกถล่ม ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่ใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตจีน


@ รับเหมาได้ประโยชน์


อย่างไรก็ดีราคาเหล็กมีแนวโน้มลดลงตามซัพพลายส่วนเกิน ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ประกอบกับปีนี้คาดว่างานโครงการต่างๆ จะทยอยเปิดเพิ่มขึ้น และภาครัฐจะมีการเร่งรัดการเบิกจ่าย โดยผู้รับเหมาขนาดใหญ่ คือ CK และ STECON จะได้รับผลดีจากการที่ผู้รับเหมารายใหญ่รายหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องและปัญหาส่วนตัว ทำให้การแข่งขันในการรับงานหลักๆ จะเป็นการแข่งขันกันระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่ 2 ราย ซึ่งมีภาษีในการรับงานดีกว่าและได้ผลดีจากต้นทุนที่ลดลง


ส่วนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การที่ต้นทุนราคาเหล็กลดลงจะไม่ได้เป็นน้ำหนักหลัก เนื่องจากที่ผ่านมาต้นทุนวัสดุก่อสร้างต่างๆ มีทิศทางการปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาอยู่แล้ว แต่ประเด็นสำคัญที่กดดันกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จริงๆ คือ ภาระในการรีไฟแนนซ์หนี้ในปีนี้ ซึ่งมีจำนวนมาก สำหรับผู้ประกอบการหลายราย เช่น ANAN, ORI, LH, SPALI


ดังนั้นจากความกังวลเรื่องการต้องใช้เงินจำนวนมากในการรีไฟแนนซ์ ประกอบกับยอดขายสินค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นมากรวมถึงการสต๊อกสินค้าของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมในช่วงสั้นอาจจะยังไม่น่าสนใจเป็นพิเศษ 


คาดว่าอาจจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งในช่วงหลังไตรมาส 3/2568 หรือเข้าสู่ไตรมาส 4/2568 เพราะส่วนใหญ่การรีไฟแนนซ์จะเสร็จสิ้นลงในช่วงกลางปี หากไม่มีปัญหาใดๆ ก็จะคลายความกังวลได้  โดยสรุปผลดีจากเรื่องต้นทุนที่ลดลงไม่ได้มีผลต่ออสังหาริมทรัพย์มากเมื่อเทียบกับความกังวลเรื่องการรีไฟแนนซ์ระยะสั้น


@หุ้นเหล็กรับผลกระทบ 


ด้านนายจารุชาติ บูชาชาติ นักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มราคาเหล็กที่ลดลง จะกระทบต่อหุ้นกลุ่มเหล็กโดยตรง เช่น TSTH, PAP ทั้งนี้ในด้านสัญญาของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าต้นทุนเหล็กจะลดลง แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ ล็อกสัญญากับซัพพลายเออร์ไว้แล้วในระดับหนึ่งอย่างน้อย คือ ถึงสิ้นปี ดังนั้นผลประโยชน์จากการลดลงของต้นทุนเหล็กคาดว่าจะเห็นผลในปีหน้า ด้านกลุ่มรับเหมาก่อสร้างแม้จะได้ผลประโยชน์แต่ไม่ได้มีนัยสำคัญ อาจจะต้องติดตาม โครงการ Entertainment Complex ถ้ามีพัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น มีการนำเรื่องกลับเข้าที่ประชุมสภาอีกครั้งจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง


ขณะที่การบริโภคเหล็กจีนในไทยยังคงอยู่ในระดับปกติแม้จะมีเหตุการณ์ตึกถล่ม มองว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อเหล็กโดยตรง แต่อาจเกี่ยวกับ คุณภาพการก่อสร้างมากกว่า ทำให้การบริโภคเหล็กจีนในไทย ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ขนาดของกลุ่มเหล็กในตลาดหุ้นไทยมีขนาดค่อนข้างเล็ก ทำให้ผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ คาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยโดยรวม 


@ CK ปีนี้เร่งตัว


บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก  จำกัด ระบุว่า มีมุมมองบวกต่อผลประกอบการปี 2568  และ ไตรมาส 2/2568 ของ CK โดยคาดว่ารายได้จะเร่งตัวขึ้นจาก Backlog ที่มีกว่า 2  แสนล้านบาท ทั้งนี้ผู้บริหารได้ปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้จาก 4  หมื่นล้านบาท สู่ 4.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 20%YoY โดยได้แรงหนุนจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก และเขื่อนหลวงพระบาง คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวขึ้นสู่ 7-8% 


สำหรับส่วนแบ่งขาดทุนจากหลวงพระบางพาวเวอร์ (LPCL) จะลดลงหลัง CK ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 20% เหลือ 10% (CK ขายหุ้น 10% ใน LPCL ให้ TTW ) ทำให้ไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน นอกจากนี้คาดว่าปี 2568 จะมีการประมูลงานราว 7.16 แสนล้านบาท อาทิ สะพานข้ามทะเลสาบสงขลาและเกาะลันตา รถไฟความเร็วสูงโคราช-หนองคาย มอเตอร์เวย์ M9 และการขยายสนามบินดอนเมือง  สุวรรณภูมิ  และเชียงใหม่ เป็นต้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20 บาท
 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง