อภิปรายงบฯ 2569 โค้งสุดท้ายสู่การลงมติ กับเดิมพันเศรษฐกิจแผ่นดิน

วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 บรรยากาศในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความคาดหวัง เมื่อการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เข้าสู่โค้งสุดท้าย สมาชิกสภาฯ ต่างเตรียมพร้อมสำหรับการลงมติวาระแรกที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศในปีถัดไป
การประชุมสมัยวิสามัญที่ดำเนินมาตลอด 4 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม นับเป็นช่วงเวลาที่เข้มข้นที่สุดช่วงหนึ่งของรัฐสภาไทย ท่ามกลางการถกเถียงและตรวจสอบรายละเอียดงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 27,900 ล้านบาท
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เส้นแบ่งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านปรากฏชัดเจนในทุกประเด็นที่นำมาอภิปราย พรรคประชาชนในฐานะแกนนำฝ่ายค้านได้จัดทีมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกือบ 50 คน เข้าร่วมการอภิปรายอย่างเต็มรูปแบบ โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบรายละเอียดในทุกกระทรวงและทุกโครงการ
ประเด็นที่เป็นจุดสนใจหลักของฝ่ายค้าน ได้แก่ การจัดสรรงบประมาณที่อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญ การซ่อนโครงการที่อาจใช้เป็นแต้มต่อรองทางการเมือง และความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณในบางโครงการขนาดใหญ่ที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ประเด็นร้อนที่ยังไม่มีข้อยุติ
หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือโครงการซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งมีงบประมาณรวม 3 ปีถึง 18,661 ล้านบาท นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล จากพรรคประชาชน ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงประสิทธิภาพของโครงการนี้ โดยเฉพาะโครงการ OFOS ที่ตั้งเป้าอัพสกิลคนในประเทศ 20 ล้านคนภายในปี 2570 แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในปี 2567 มีเพียง 296,610 คน คิดเป็นเพียง 7.52% ของเป้าหมาย
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตัวเลข แต่รวมไปถึงการขาดยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ชัดเจน การทับซ้อนของหน่วยงานที่รับผิดชอบ และการขาดเจ้าภาพหลักที่จะขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
การปรับโครงสร้างงบประมาณที่น่าจับตา
จากการวิเคราะห์โครงสร้างงบประมาณปี 2569 พบว่ามีการปรับเปลี่ยนที่น่าสนใจในหลายส่วน งบกลางได้รับการจัดสรร 632,968 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 209,032 ล้านบาท ในขณะที่กระทรวงการคลังได้รับเพิ่มขึ้น 8,197 ล้านบาท เป็น 397,856 ล้านบาท
กระทรวงศึกษาธิการได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้นมากที่สุด จำนวน 14,333 ล้านบาท เป็น 355,108 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงมหาดไทยได้รับเพิ่มขึ้น 6,852 ล้านบาท เป็น 301,265 ล้านบาท การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในลำดับความสำคัญของนโยบายรัฐบาล
แม้จะเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่ฝ่ายรัฐบาลยังคงแสดงความมั่นใจว่าร่างงบประมาณจะผ่านการพิจารณาวาระแรกได้อย่างราบรื่น
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลไม่มีความขัดแย้งภายใน และการผ่านร่างงบประมาณจะไม่มีสะดุดใดๆ พรรคกล้าธรรมในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ให้การรับรองว่าจะโหวตสนับสนุนอย่างพร้อมเพรียง
การลงมติวาระแรกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 31 พฤษภาคม จะเป็นตัวชี้วัดความสามารถของรัฐบาลในการบริหารจัดการรัฐสภา หากร่างงบประมาณผ่านวาระแรกได้ จะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญต่อไป ซึ่งจะมีการตรวจสอบรายละเอียดอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
สิ่งที่น่าจับตาคือการที่พรรคประชาชนได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าหากรัฐบาลไม่สามารถจัดงบประมาณให้ตอบโจทย์ประชาชนได้จริง พรรคจะไม่ให้ความเห็นชอบ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นอีกหนึ่งแกนนำฝ่ายค้าน ได้รับเวลาอภิปราย 3 ชั่วโมง และคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงมติ
งบประมาณปี 2569 นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตและแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
การเพิ่มขึ้นของงบประมาณถึง 27,900 ล้านบาท ชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการใช้การคลังเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว