รีเซต

นักวิจัยอิสราเอลตั้งสมมติฐานใหม่มนุษย์ใช้ไฟครั้งแรก อาจไม่ใช่เพื่อปรุงให้อาหารสุก?

นักวิจัยอิสราเอลตั้งสมมติฐานใหม่มนุษย์ใช้ไฟครั้งแรก อาจไม่ใช่เพื่อปรุงให้อาหารสุก?
TNN ช่อง16
14 มิถุนายน 2568 ( 02:42 )
12

การค้นพบวิธีการใช้ไฟ เป็นหนึ่งในการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่การให้ความอบอุ่น ให้แสงสว่าง การปรุงอาหาร ไปจนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรม องค์ประกอบสำคัญล้วนเป็นไฟทั้งนั้น แต่คำถามสำคัญคือ จุดตั้งต้นที่มนุษย์ริเริ่มใช้ไฟนั้นคือเพื่อจุดประสงค์อะไร ? 

เป็นประเด็นนี้ถูกถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้นักวิจัยเกี่ยวกับยุคก่อนประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่ามนุษย์เริ่มพัฒนากระบวนการใช้ไฟมาตั้งแต่ต้นสมัย “ไพลสโตซีน” (Pleistocene ประมาณ 2.5 ล้านปีก่อน) โดยนักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่า ไฟถูกใช้เพื่อทำอาหารจากพืชและเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นการปรับตัวที่สำคัญในมนุษย์โฮโมอิเร็กตัส (Homo erectus คือ สายพันธุ์มนุษย์โบราณที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 2 ล้านปีถึงอย่างน้อย 250,000 ปีก่อน ถือเป็นหนึ่งในญาติใกล้ชิดของมนุษย์ปัจจุบัน) โดยเรียกการปรับตัวนี้ว่า สมมติฐานการปรุงอาหาร (Cooking Hypothesis) ซึ่งอธิบายว่าการควบคุมการใช้ไฟได้ ทำให้มนุษย์มนุษย์โฮโมอิเร็กตัสทำอาหารเป็น ส่งผลให้พวกเขามีระบบย่อยอาหารที่เล็กลง และสมองมีขนาดใหญ่ขึ้น

แต่งานวิจัยใหม่จากภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ ในประเทศอิสราเอล ได้ตั้งคำถามต่อสมมติฐานดังกล่าว โดยเสนอแนวคิดใหม่ว่า การใช้ไฟครั้งแรกของมนุษย์ อาจจะไม่ใช่เพื่อการปรุงอาหาร แต่เป็นการถนอมอาหารให้อยู่ได้นานขึ้น 

มิกิ เบ็นดอร์ (Miki Ben-Dor) ผู้เขียนงานวิจัยนี้กล่าวว่า ต้นกำเนิดการใช้ไฟของมนุษย์เป็นหัวข้อที่นักวิจัยเกี่ยวกับยุคก่อนประวัติศาสตร์ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ ทั้งนี้นักวิจัยส่วนใหญ่จากทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันว่า เมื่อประมาณ 400,000 ปีก่อน มนุษย์ใช้ไฟเป็นปกติ และส่วนใหญ่ใช้เพื่อการย่างเนื้อ และอาจใช้เพื่อการให้แสงสว่างและความร้อนด้วย แต่ประเด็นที่ยังมีข้อถกเถียงอย่างมากคือในช่วงเวลาล้านปีที่ผ่านมา ว่าทำไมมนุษย์ยุคแรกจึงเริ่มใช้ไฟ 

เบ็นดอร์กล่าวเพิ่มเติมว่า มนุษย์ยุคแรกโดยเฉพาะโฮโมอิเร็กตัส ใช้ไฟเป็นครั้งคราวเท่านั้น ในสถานที่เฉพาะและเพื่อวัตถุประสงค์ที่พิเศษ เพราะกระบวนการจุดไฟนั้นทำได้ยาก ตั้งแต่รวบรวมเชื้อเพลิง จุดไฟ และรักษาไฟให้อยู่ระยะเวลานาน ๆ ดังนั้นต้องมีแรงจูงใจที่น่าเชื่อถือเพื่อให้จุดไฟขึ้นมา

เบ็นดอร์และทีมได้ทบทวนเอกสารเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์เท่าที่มีทั้งหมด ทั้งนี้แหล่งโบราณคดีอายุมากกว่า 400,000 ปีก่อนไม่ค่อยมีหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ไฟเท่าไหร่นัก แต่มีอยู่ 9 แห่ง ซึ่งมีอายุระหว่าง 1.8 ล้านปี - 800,000 ล้านปีก่อน และพบหลักฐานการใช้ไฟ โดยเป็นแหล่งโบราณคดีในอิสราเอล 2 แห่ง ในทวีปแอฟริกา 6 แห่ง และในประเทศสเปน 1 แห่ง รวมถึงยังได้ศึกษาชาติพันธุ์วิทยา (Ethnography) หรือการศึกษาสังคมของผู้คนที่ยังคงดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่าในปัจจุบัน เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมของกลุ่มคนในยุคปัจจุบันกับสิ่งที่มนุษย์ยุคแรกอาจทำในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งช่วยให้นักวิจัยสามารถคาดเดาได้อย่างมีหลักการว่าไฟอาจถูกใช้อย่างไรในสมัยโบราณ

ในการศึกษาแหล่งโบราณคดี 9 แห่ง นักวิจัยพบว่าสิ่งหนึ่งที่แต่ละแห่งมีร่วมกัน คือ มีกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่จำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นช้าง นอกจากนั้นยังมีแรด ฮิปโปโปเตมัส และสัตว์อื่น ๆ ซึ่งสัตว์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาหารของมนุษย์ในยุคแรก ๆ และให้แคลอรีที่จำเป็นเกือบทั้งหมด เช่น เนื้อและไขมันของช้างหนึ่งตัว มีแคลอรีหลายล้านแคลอรี ซึ่งเพียงพอสำหรับเลี้ยงคน 20–30 คนเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น ตามคำกล่าวของเบ็นดอร์

ทีมวิจัยจึงได้วิเคราะห์ และได้ข้อสรุปใหม่ว่า การใช้ไฟมีจุดประสงค์สำคัญ 2 ประการ คือ 

1. ใช้ปกป้องสัตว์ป่าขนาดใหญ่ที่ล่ามา ไม่ให้สัตว์อื่น ๆ มาแย่ง 

2. ใช้ถนอมเนื้อสัตว์ โดยการรมควันและการอบแห้ง เพื่อให้เก็บเนื้อสัตว์ได้ในระยะเวลานาน 

แต่อย่างไรก็ตาม รัน บาร์ไก (Ran Barkai) หนึ่งในทีมวิจัยเปิดเผยว่า เมื่อมีการจุดไฟเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวแล้ว ก็อาจจะมีการใช้ไฟเพื่อทำให้อาหารสุกด้วยเช่นกัน

ทีมวิจัยยืนยันว่า ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับทฤษฎีที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมา ซึ่งทฤษฎีที่ว่าก็คือการอธิบายปรากฏการณ์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ว่าเป็นการปรับตัวเพื่อล่าและบริโภคสัตว์ขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลให้สัตว์เหล่านี้ค่อย ๆ สูญหายไป และทำให้มนุษย์ยุคแรกต้องมีการปรับตัวเพิ่มเติม คือการต้องได้รับพลังงานอย่างเพียงพอจากสัตว์ขนาดเล็กลง

นับว่าเป็นอีกหนึ่งงานวิจัย ที่เปิดเผยมุมมองใหม่ ๆ ให้เราเข้าใจเกี่ยวกับสังคมและความเป็นมาของมนุษย์ยุคแรกเริ่มได้อย่างน่าสนใจ

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Nutrition ฉบับวันที่ 16 พฤษภาคม 2025

ข่าวที่เกี่ยวข้อง