รีเซต

"อดีตไม่เคยหายไป" : Digital Footprint หลักฐานสำคัญบนเส้นทางสืบสวน

"อดีตไม่เคยหายไป" : Digital Footprint หลักฐานสำคัญบนเส้นทางสืบสวน
TNN ช่อง16
14 ตุลาคม 2567 ( 15:51 )
34

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การใช้งานอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไปแล้ว ทุกการกระทำบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือแม้แต่การค้นหาข้อมูล ล้วนทิ้งร่องรอยดิจิทัล หรือที่เรียกว่า "Digital Footprint" เอาไว้ ซึ่งนอกจากจะสะท้อนพฤติกรรมของผู้ใช้งานแล้ว ยังกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการสืบสวนคดีอาญาในประเทศไทยอีกด้วย


Digital Footprint คืออะไร

Digital Footprint คือร่องรอยการใช้งานทุกอย่างที่เราทิ้งไว้บนโลกออนไลน์ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Active Digital Footprint เป็นข้อมูลที่เราเผยแพร่ด้วยตัวเอง เช่น การโพสต์ข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอ และ Passive Digital Footprint เป็นข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ เช่น IP address, ประวัติการค้นหา หรือข้อมูลตำแหน่งทางภูมิศาสตร์  ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้


บทบาทของ Digital Footprint ในการสืบสวนคดี

ในยุคดิจิทัล เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานสืบสวนในไทยได้นำ Digital Footprint มาใช้ในการตามหาตัวผู้กระทำผิดและเชื่อมโยงหลักฐานในคดีต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ข้อมูลการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ประวัติการค้นหาของผู้ต้องสงสัย ไปจนถึงการวิเคราะห์การสื่อสารบนแอปพลิเคชันแชท เพื่อระบุตัวผู้กระทำผิดและสร้างไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ นอกจากนี้ ข้อมูลจาก GPS และระบบติดตามยังถูกนำมาใช้ในการสืบสวนคดีอาชญากรรมและการค้นหาผู้สูญหายอีกด้วย


กรณีศึกษา 5 คดีการใช้ Digital Footprint ในการสืบสวนคดีในประเทศไทย


1. คดีการเสียชีวิตของ "แตงโม นิดา" (2022) 

ในคดีการเสียชีวิตของนักแสดงสาว "แตงโม นิดา" ที่ตกเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดีย และระบบ GPS เพื่อตรวจสอบตำแหน่งและเวลาที่เกิดเหตุ นำมาประกอบการสร้างไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น แม้ว่าจะยังมีข้อถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับคำให้การของผู้เกี่ยวข้อง แต่ร่องรอยดิจิทัลก็มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์เหตุการณ์และสนับสนุนข้อสันนิษฐานของตำรวจ


2. คดีแชร์ลูกโซ่ Forex-3D (2020-2022) 

คดีนี้เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงการลงทุนในตลาด Forex โดยผู้ต้องหาใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อหลอกลวงผู้คนให้ลงทุน โดยอ้างว่าจะได้ผลตอบแทนสูง ข้อมูลการทำธุรกรรม การโอนเงิน และการสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันแชทถูกนำมาใช้ในการติดตามเส้นทางการเงิน และเชื่อมโยงเครือข่ายหลอกลวงจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิด และทำลายขบวนการนี้ได้


3. คดีฆาตกรรม "น้องชมพู่" (2020)

กรณีการหายตัวไปและเสียชีวิตของเด็กหญิงน้องชมพู่ในจังหวัดมุกดาหาร เจ้าหน้าที่ได้ใช้ข้อมูลดิจิทัลจากโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องสงสัย รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวและสร้างไทม์ไลน์ในวันที่เกิดเหตุ การตรวจสอบข้อมูลการสื่อสารของบุคคลที่เกี่ยวข้องยังมีส่วนในการสนับสนุนพยานหลักฐานและข้อสันนิษฐานต่างๆ


4. คดีการพนันออนไลน์ (2021)

คดีนี้เกี่ยวกับเว็บไซต์การพนันออนไลน์ที่เปิดให้บริการอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ใช้ข้อมูลร่องรอยดิจิทัล เช่น ประวัติการเข้าใช้งานเว็บไซต์ ข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงิน และการสื่อสารในกลุ่มแชทของผู้เล่น เพื่อระบุตัวผู้ดูแลระบบ ผู้เล่น และเครือข่ายผู้กระทำความผิด ทำให้สามารถดำเนินคดีกับกลุ่มคนเหล่านี้ได้


5. คดีหมิ่นประมาททางออนไลน์ (2019-2022)

ในยุคดิจิทัล การหมิ่นประมาททางออนไลน์เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอที่ถูกโพสต์หรือแชร์บนโซเชียลมีเดีย ถูกใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ใช้ร่องรอยดิจิทัลในการระบุตัวตนของผู้โพสต์ พิสูจน์เจตนาในการทำให้เกิดความเสียหาย และติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหาย


การใช้ Digital Footprint ในการสืบสวนคดีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานสืบสวนในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน


กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Digital Footprint ในการสืบสวน


ในประเทศไทย มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ร่องรอยดิจิทัลในการสืบสวนคดี ได้แก่ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และฉบับแก้ไข พ.ศ. 2560 ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการเข้าถึงและรวบรวมพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการระงับการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายนี้ต้องคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลและข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญด้วย


นอกจากนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2565 ยังเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้ Digital Footprint ในกระบวนการสืบสวน กฎหมายนี้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน หรือมีฐานทางกฎหมายรองรับ การนำ Digital Footprint มาใช้เป็นหลักฐานจึงต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ PDPA ด้วย 


ความท้าทายในการใช้ Digital Footprint

แม้ Digital Footprint จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสืบสวน แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ อาทิ การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสหรือซ่อนตัวตนโดยใช้ VPN ซึ่งทำให้การติดตามตัวผู้กระทำผิดยากขึ้น อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมายด้านดิจิทัลในไทยยังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนาต่อไป ทั้งในแง่ของการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลและการนำข้อมูลไปใช้อย่างมีขอบเขต


ข้อควรระวังในการใช้งานออนไลน์ 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Digital Footprint เป็นดาบสองคมที่สามารถส่งผลดีและร้ายต่อผู้ใช้งาน หากตกอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ข้อมูลส่วนตัวอาจถูกนำไปแอบอ้างหรือหลอกลวง ดังนั้นผู้ใช้งานจึงควรตระหนักและใช้สื่อออนไลน์อย่างระมัดระวัง ทั้งในแง่ของการไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หลีกเลี่ยงการโพสต์เนื้อหาที่อาจสร้างผลกระทบต่อผู้อื่น และตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนแพลตฟอร์มโซเชียล เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยที่อาจมองไม่เห็น


Digital Footprint กลายเป็นส่วนสำคัญในการสืบสวนคดีในประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้กระบวนการยุติธรรมในยุคดิจิทัลมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การใช้ข้อมูลเหล่านี้ต้องคำนึงถึงกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล ทุกคนในฐานะผู้ใช้งานจึงควรตระหนักถึงการทิ้งร่องรอยบนโลกออนไลน์ และใช้งานด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่ว่าจะโพสต์สิ่งใด ย่อมมีผลกระทบทั้งต่อตัวเองและสังคมเสมอ



ภาพ Freepik
เรียบเรียง ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง