เหตุกราดยิงวันชาติสหรัฐฯ สะท้อนปัญหาสังคมอเมริกัน
วันชาติสหรัฐฯ ปีนี้ เกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้น เมื่อมีมือปืนซุ่มยิงลงมาจากหลังคาอาคาร เข้าใส่ขบวนพาเหรดวันชาติ ในรัฐอิลลินอยส์ ใกล้กับนครชิคาโก ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 คน สะท้อนปัญหาความรุนแรงจากอาวุธปืนที่ไม่จบไม่สิ้นในสังคมอเมริกัน
---คนร้ายซุ่มยิงฝูงชนในขบวนพาเหรดวันชาติ---
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 10.14 น. วานนี้ (4 กรกฎาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับวันชาติสหรัฐฯ ที่เมืองไฮแลนด์ พาร์ค รัฐอิลลินอยส์ ขณะที่ประชาชนกำลังสนุกสนานกับขบวนพาเหรดวันชาติ มือปืนปีนขึ้นไปบนหลังคาอาคารหลังหนึ่ง โดยใช้บันไดที่ติดอยู่กับตัวอาคาร และใช้ปืนไรเฟิลประสิทธิภาพสูงก่อเหตุ ตำรวจพบปืนไรเฟิลที่คนร้ายใช้ก่อเหตุแล้วในจุดที่ก่อเหตุ
ในขบวนพาเหรดวันชาตินั้น มีตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงอยู่ด้วยหลายคน ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น ตำรวจรีบไปถึงตัวมือปืนทันที ทำให้เขาหยุดยิงและหลบหนีไปได้ ตำรวจส่งเฮลิค็อปเตอร์หลายลำ ออกไล่ล่ามือปืน ส่วนบนถนนรถบรรทุกทหารหลายคัน พร้อมทหารในชุดลายพราง ออกล่ามือปืนด้วย
โฆษกตำรวจเมืองไฮแลนด์ พาร์ค ยืนยันจับผู้ต้องสงสัยเป็นมือปืนได้แล้ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ชื่อโรเบิร์ต หรือบ๊อบบี้ อี ครีโมที่ 3 เป็นนักร้องแร็ปเปอร์วัย 22 ปี อาศัยอยู่ในเมืองที่เกิดเหตุ ตำรวจเชื่อว่า ครีโมลงมือเพียงลำพัง
สำหรับผู้เสียชีวิต 5 คนเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนอีกคนเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บ 38 คน รวมถึงเด็ก 4-5 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บมีอาการขั้นวิกฤตินับสิบคน
---‘ไบเดน’ ให้คำมั่น ต่อสู้กับความรุนแรงจากปืน---
ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดนและภริยาสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง จิล ไบเดน ยืนสงบนิ่งบนเวทีฉลองวันชาติในกรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่อไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงครั้งนี้
ทำเนียบขาวเปิดเผยแถลงการณ์ประธานาธิบดีไบเดน แสดงความรู้สึกตกใจมาก กับการกราดยิงสังหารหมู่อย่าง ‘ไร้สติ’ นี้ เขาได้แจ้งต่อ แนนซี โรเทอร์ริง นายกเทศมนตรีไฮแลนด์ พาร์ค เสนอการสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
ด้าน เจ บี พริตซเคอร์ ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ แถลงว่า ประธานาธิบดีไบเดน เห็นพ้องกับเขาว่า ความบ้าคลั่งแบบนี้จะต้องหยุดลง เรียกร้องให้เหตุกราดยิงสังหารหมู่จะต้องจบเสียที
---ปัญหาอาวุธปืนฝังรากรึกในสหรัฐฯ---
การกราดยิงครั้งนี้ เป็นหนึ่งในความรุนแรงจากการใช้อาวุธปืนที่เกิดขึ้นทั่วสหรัฐฯ ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตราว 40,000 คนจากปืน
เหตุการณ์ครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในขณะที่ชาวอเมริกันเฉลิมฉลองวันประกาศอิสรภาพ ซึ่งเมืองต่างๆ ทั่วประเทศมักจัดการเดินพาเหรด ผู้คนแต่งตัวในหลากหลายรูปแบบ มาร่วมงาน และมีการทานบาร์บีคิว ตลอดจนการแสดงพลุดอกไม้ไฟ
ข้อมูลจาก Gun Violence Archive พบว่า ในปีนี้ มีการกราดยิงเกิดขึ้นแล้วถึง 309 ครั้ง โดยเฉพาะวันชาติสหรัฐฯ วันเดียว มีรายงานเหตุกราดยิงอย่างน้อย 3 เหตุการณ์ แต่เหตุการณ์อื่น ๆ ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาที่การฉลองวันชาติอเมริกาถูกกระชากไปโดยโรคระบาดอันเป็นเอกลักษณ์ของอเมริกา เพราะวันนี้คือวันแห่งเสรีภาพ แต่กลับมีเสรีภาพหนึ่งที่อเมริกาปฏิเสธที่จะยืนหยัดสู้ นั่นก็คือ เสรีภาพในการที่พลเมืองสามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องกลัวความรุนแรงจากอาวุธปืนในชีวิตประจำวัน
ด้านประธานาธิบดีไบเดน ให้คำมั่นว่าเขาจะต่อสู้การระบาดของความรุนแรงจากอาวุธปืนที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศและเขาจะไม่ยอมแพ้ ยังมีงานต้องทำอีกมาก
---ศาลสูงสหรัฐฯ ชี้ ชาวอเมริกันมีสิทธิพื้นฐานในการพกปืน---
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไบเดนได้ลงนามร่างกฎหมายปฏิรูปอาวุธปืนที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ แม้ว่า ศาลสูงสหรัฐฯ เพิ่งชี้ว่า ชาวอเมริกันมีสิทธิพื้นฐานในการพกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะเพื่อป้องกันตนเอง และกฎหมายของรัฐนิวยอร์กที่ให้ประชาชนแสดงเหตุผลอันควรในการพาปืนในที่สาธารณะนั้น ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญก็ตาม ทำให้ในตอนนั้น ไบเดนกล่าวว่าศาลสูงนั้นตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่
กฎหมายใหม่นี้จะเพิ่มการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนที่เป็นเยาวชน ห้ามขายปืนให้ผู้มีประวัติกระทำผิดในคดีความรุนแรงในครอบครัว และยังจะจัดสรรงบประมาณแก่ทุกรัฐ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายใยนการยึดอาวุธปืนจากผู้ที่อาจทำการอันเป็นอันตรายแก่ตัวเองและผู้อื่น แต่ยังไม่ได้ห้ามการจำหน่ายปืนไรเฟิล หรือแมกกาซีนที่บรรจุกระสุนปืนได้จำนวนมาก ตามที่ไบเดนผลักดันแต่แรก
ประเด็นการควบคุมอาวุธปืนนั้นเป็นที่ถกเถียงร้าวลึกในสังคมอเมริกันมานาน และกำลังกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหลังเกิดเหตุกราดยิงในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาสองเหตุการณ์ คือ การกราดยิงชาวผิวดำในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในรัฐนิวยอร์ก จนมีผู้เสียชีวิต 10 คน และเหตุกราดยิงโรงเรียนประถมในรัฐเท็กซัส ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 คน โดยส่วนใหญ่เป็นเด็ก
————
แปล-เรียบเรียง: ธันย์ชนก จงยศยิ่ง
ภาพ: Reuters