ค้าปลีกยอดSSSGโตดี ชูCPALL-HMPROเด่น
สมาคมค้าปลีกกังวลกำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ แถมไตรมาส 3/2566 ท่องเที่ยวเข้าโลว์ซีซัน ด้านนักวิเคราะห์มั่นใจยอดขายต่อสาขา (SSSG) มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 6-9% จากไตรมาสก่อน ชี้เป้า CPALL-HMPRO เด่นจาก SSSG มีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรม
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) ในงวดไตรมาส 3/2566 (ก.ค. – ก.ย.) พบว่า ผู้ประกอบการค้าปลีกคาดการณ์ว่าสถานการณ์มีแนวโน้มทรงตัวต่อจากงวดไตรมาส 2/2566 ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุด กดดันจากกำลังซื้อของผู้บริโภคฐานรากยังอ่อนแอ
รวมถึงสถานการณ์ค่าครองชีพที่สูงขึ้น จากทั้งค่าสาธารณูปโภค, ค่าโดยสาร, ส่งผลให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่จำเป็น อีกทั้งยังไม่มีมาตรการใหม่จากรัฐร่วมกระตุ้นการจับจ่าย ดังนั้นผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงยังคงชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้า โดยหากต้องปรับอาจพิจารณาปรับราคาขึ้นไม่เกิน 5%เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน
“ความเชื่อมั่นปรับลดลงทุกประเภทร้านค้าทั้งร้านค้าส่ง และ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ผู้บริโภคยังคงเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นรวมทั้งสินค้าที่มีการจัดโปรโมชั่น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังเริ่มข้าสู่ช่วงโลว์ซีซันของการท่องเที่ยว”
*ยอดขายต่อสาขายังโต
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวคาดการณ์ยอดขายต่อสาขาของผู้ประกอบการค้าปลีกงวดไตรมาส 3/2566 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมา หนุนจากกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย รวมถึงกำลังซื้อในประเทศที่แม้เริ่มชะลอตัวลงแต่ยังคงจับจ่ายใช้สอยกลุ่มสินค้าจำเป็นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามปัจจัยกดดันทั้งปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรในระยะถัดไป รวมถึงความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาลที่กดดันจิตวิทยาการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนกลุ่มกลางอย่างมีนัยสำคัญ
“ภาพรวมกำลังซื้อกลุ่มฐานรากเริ่มชะลอตัวลง จากความไม่มั่นใจสถานการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า จึงพิจารณาชะลอการใช้จ่าย – สำรองเงินสดไว้ระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เข้าสู่ช่วงโลว์ซีซัน การกระจายตัวของเม็ดเงินใหม่ จากกลุ่มนักท่องเที่ยวจึงเริ่มกระจุกตัวอยู่เฉพาะหัวเมืองขนาดใหญ่ และในจังหวัดท่องเที่ยวเท่านั้น แต่จากประมาณการภาพรวมยอดขายต่อสาขา(SSSG) งวดไตรมาส 3/2566 ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ราว 6-9% เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2/2566”
*CPALL, HMPRO เด่น
ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุน เลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับปัจจัยกดดันทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวในกรอบจำกัด อาทิCPALL เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/2566 ที่ 3.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30%YoY แต่ลดลง 5%QoQและหากไม่รวมผลขาดทุนพิเศษ 129 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดของCPAXT คาดการณ์กำไรปกติที่ 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 32%YoY แต่ทรงตัว QoQ
ทั้งนี้คาดการยอดขายต่อสาขา (SSSG) เติบโตราว 7% YoYสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3% YoY ขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นจากยอดขายกลุ่มสินค้าพร้อมทานและกลุ่มเครื่องดื่ม (ready-to-eat & drink) ซึ่งมีกำไรขั้นต้น (Margin) สูง เบื้องต้นคาดว่ากำไรปกติของ CPALL จะเข้ามาชดเชยกำไรปกติของ CPAXTที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาด จึงคงคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 2566 ไว้ที่ 1.67 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.52%YoY แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 78 บาท
สำหรับ HMPRO คาดจะรายงานยอดขายต่อสาขา (SSSG ) ในงวดไตรมาส 2/2566 เติบโต 5%YoYและเป็นอีกบริษัทที่มี SSSG สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม โดยได้แรงหนุนจากปริมาณฝนที่อาจตกน้อยกว่าคาด และอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ส่งผลให้ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้า (ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 20%ของยอดขายรวม) เร่งตัวขึ้น ทั้งยังได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาลในกรอบจำกัด เบื้องต้นคดาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 2566 ที่ 7.07 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.87% YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 17 บาท