รีเซต

TTA แบ็กล็อกหนุนรายได้ อัตราเช่าเรือ-ค่าระวางดีด

TTA แบ็กล็อกหนุนรายได้ อัตราเช่าเรือ-ค่าระวางดีด
ทันหุ้น
29 พฤศจิกายน 2566 ( 11:38 )
98
TTA แบ็กล็อกหนุนรายได้ อัตราเช่าเรือ-ค่าระวางดีด

 

#TTA #ทันหุ้น – TTA โชว์ Backlog งานวิศวกรรมใต้น้ำสูงแตะ 697 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนุนรายได้ถึงปี 2567 มั่นใจรักษาอัตราค่าเช่าเรือเทกองได้สูงกว่า 1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อลำต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยดัชนี BSI และสูงกว่าต้นทุนการดำเนินงาน ด้านโบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 7.40 บาท

 

นางสาววิภาดา  ชัยอาภรณ์  ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราค่าระวางเรือ Baltic Supramax (BSI) เฉลี่ยช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2566 เร่งตัวขึ้น 31.2% เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 3/2566(QoQ) แม้ว่าจะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงช่วงปลายไตรมาส 4/2566 ตามปัจจัยฤดูกาลใกล้ช่วงวันหยุดปลายปี แต่คาดว่าจะสามารถพยุงรายได้รวมทั้งไตรมาส 4/2566 ให้ทรงตัวได้ต่อเนื่องจากงวดไตรมาส 3/2566

 

สำหรับภาพธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือในปี 2567 บริษัทยังสามารถรักษาอัตราค่าเช่าเรือเทกองของบริษัทให้ทรงตัวได้ที่ราว 1.1 – 1.2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อลำต่อวัน ซึ่งสูงกว่าต้นทุนของบริษัทที่ราว 8 - 8.5 พันดอลลาร์สหรัฐต่อลำต่อวัน ขณะเดียวกัน บริษัทอ้างอิงข้อมูลวิจัยของ Clarksons พบว่าคำสั่งต่อเรือเทกองใหม่ทั้งปี 2567 อยู่ที่ราว 2.2% DWT (Dead Weight Tonnage)

 

ดีมานด์ขนส่งโต

 

ขณะที่ความต้องการขนส่งสินค้าแห้งเทกองยังมีแนวโน้มเติบโตได้ที่ราว 3.7% ตัน-ไมล์ ซึ่งถือว่าความต้องการขนส่ง กับกองเรือเริ่มเข้าสู่จุดสมดุลซึ่งจะเป็นปัจจัยให้บริษัทสามารถรักษาอัตราค่าเช่าเรือของบริษัทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อย่างต่อเนื่อง

 

“การเติบโตของการค้าสินค้าแห้งเทกองได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการค้า รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน  ซึ่งทำให้รายได้จากการขนส่งโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภท และการนำเข้าสินค้าแห้งเทกองของจีนที่เพิ่มขึ้น หลังจากเปิดประเทศ”

 

ส่วนธุรกิจการให้บริการงานวิศวกรรมด้านการก่อสร้างและงานปฏิบัติการนอกชายฝั่ง ณ สิ้นใตรมาส 3/2566 บริษัทมีปริมาณงานในมือ (Backlog) รวมมูลค่า 697 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้เข้ามาในงวดไตรมาส 4/2566 ราว 11% หรือราว 76.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เหลืออีกราว 617.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะทยอยรับรู้เข้ามาต่อเนื่องในปี 2567

 

ขยายฐานธุรกิจ

 

ขณะเดียวกันบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายงานบริการเข้าสู่การให้บริการรื้อถอน และติดตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันให้กับลูกค้าในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศซาอุดีอาระเบีย, กาตาร์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทยังคงมั่นคง เบื้องต้นคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปี 2567 ที่ราว 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หนุนจากนโยบายการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศโอเปก (OPEC) เพื่อรักษาสมดุลระหว่างกำลังการผลิตน้ำมันให้สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก

 

อีกทั้งบริษัทได้เข้าลงทุนใน บริษัท แวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด หรือ VLE เพื่อขยายฐานการตลาดเข้าสู่ภูมิภาค APAC (ภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะออสเตรเลีย และบริเวณทะเลเหนือ) รวมถึงมุ่งเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทย

 

แนะซื้อเป้า 7.40 บ.

 

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 4/2566 ธุรกิจเดินเรือเติบโตแล้ว 31.2% QoQ ช่วยพยุงภาพรวมทั้งไตรมาส 4/2566 ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ธุรกิจออฟชอร์ของ MMI มีแนวโน้มเติบโตจากการรับรู้รายได้ และโอกาสเพิ่ม Backlog ที่สูงขึ้นทำให้ภาพของ MML ยังดีต่อเนื่องในปี 2567-2568 จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสมที่ 7.40 บาท

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง