อเมริกากลับสู่ความร่ำรวย ? "ภาษีทรัมป์" เริ่มเห็นผล รัฐบาลโกยรายได้ทะลุแสนล้านเหรียญ

เงินกำลังหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา เรียกได้ว่า โกยเงินเข้าประเทศของจริง จากผลพวงของ"ภาษีทรัมป์" ทำให้วันนี้ทางการสหรัฐฯ มีรายได้จากการเก็บภาษีนำเข้าพุ่งกว่าเดิมถึงสี่เท่าตัว ทะลุระดับแสนล้านดอลลาร์ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
"ภาษีทรัมป์" ทำให้อเมริการ่ำรวย ?
ข่าวนี้เป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่ "ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" ผู้นำสหรัฐฯ เคยพูดเอาไว้ ถือเป็นเรื่องจริง โดยทรัมป์เคยกล่าวเอาไว้ว่าภาษีนำเข้าจะเป็นแหล่งรายได้ที่ทำกำไรมหาศาล เพราะล่าสุดสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า ตอนนี้นโยบายภาษีการค้าของทรัมป์ ได้ช่วยดันให้รายได้จัดเก็บภาษีศุลกากรสหรัฐฯทะลุไปกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ กลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญทำเงินไหลเข้าสู่ประเทศ และอย่าลืมว่านี่เพียงแค่เริ่มต้น เพราะหลังจากนี้ไปเราจะได้เห็นรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำ และอาจจะพุ่งไปไกลถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ภายในปีนี้
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่าภาษีศุลกากรเริ่มที่จะสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลกลางอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รายได้จากภาษีพุ่งขึ้นไปจนทำลายสถิติใหม่ คือ เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสี่เท่า โดยเพิ่มเป็น 27,200 ล้านดอลลาร์เมื่อคำนวณจากรายได้รวม และ 26,600 ล้านดอลลาร์เมื่อคำนวณจากรายได้สุทธิหลังจากหักเงินคืนแล้ว
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ เคยกล่าวไว้ว่า "เงินก้อนโต" จะเริ่มไหลเข้ามาหลังจากทางการสหรัฐฯได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้า "แบบต่างตอบแทน" (Reciprocal Tariff) ที่สูงขึ้นกับบรรดาประเทศและกลุ่มต่างๆ ที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศครั้งแรกตั้งแต่เดือนเมษายน และล่าสุดคือจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ขณะที่ภาษีพื้นฐาน (Baseline Tariff) ที่ประกาศใช้กับทุกประเทศในการนำเข้าสินค้ามายังสหรัฐฯ ในอัตรา 10 % มีผลบังคับใช้ไปก่อนแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
เรื่องนี้กลายเป็นผลงานและความสำเร็จของรัฐบาลทรัมป์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ "สก็อตต์ เบสเซนต์" พูดถึงเรื่องนี้ผ่านทาง X ระบุว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น หรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ "ได้รับผลตอบแทนที่ดี" จากนโยบายภาษีของทรัมป์ และกล่าวย้ำว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อนำอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของประเทศกลับคืนมา พร้อมชื่นชมว่าเป็นเก็บภาษีที่สูงเป็นประวัติการณ์ และไม่มีภาวะเงินเฟ้ออีกด้ว
ทั้งนี้รายงานระบุว่า 9 เดือนแรกของปีงบประมาณปี 2025 (ตุลาคม 2024-มิถุนายน 2025) รายได้จากภาษีศุลกากรรวมแล้วทะลุไปแตะที่ 1.133 แสนล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีก่อนหน้า โดยงบเกินดุลดังกล่าวที่รายงานในครั้งนี้ยังถือว่าเป็นการพลิกผันจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมิถุนายนปีที่แล้ว ที่ต้องขาดดุลมากถึง 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์
และรายได้จากภาษีศุลกากรยังเป็นพระเอก หรือปัจจัยสำคัญที่มาช่วยทำให้รายรับรวมของรัฐบาลทรัมป์ในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 13%
ที่สำคัญคือ เมื่อวัดจากตัวเลขดังกล่าว เท่ากับว่าตอนนี้ภาษีศุลกากรได้กลายเป็นแหล่งรายได้อันดับ 4 ของรัฐบาลกลางแล้ว ขณะที่อันดับที่หนึ่ง คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2.683 ล้านล้านดอลลาร์ อันดับที่สอง คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ไม่หัก ณ ที่จ่าย 9.65 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับที่สาม คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล 3.92 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ยังทำให้สัดส่วนรายได้จากภาษีศุลกากรเพิ่มมากขึ้นเมื่อคิดจากรายได้รวมของรัฐบาล โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 2% เป็น 5% ภายในเวลาเพียงแค่สี่เดือน
ภารกิจ"ทรัมป์" หาเงินมาจ่ายหนี้ ?
รายได้เพิ่มขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ดีกับทุกรัฐบาล แต่สำหรับสหรัฐฯ เรื่องใหญ่ที่ทิ้งไม่ได้ คือ ความท้าท้ายเรื่องหนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ มีหนี้ที่ต้องใช้ และหมายรวมถึงภาระดอกเบี้ยจำนวนมหาศาล ภาระต้นทุนดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนถึงตอนนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะขาดดุลงบประมาณอยู่ และยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อนับโดยรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ขาดดุลเพิ่มขึ้น 5% หรือ 64,000 ล้านดอลลาร์ ขึ้นมาเป็น 1.337 ล้านล้านดอลลาร์ โดยรัฐบาลมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นหลายด้าน ทั้งโครงการดูแลสุขภาพ เงินบำนาญประกันสังคม การใช้จ่ายด้านกลาโหม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และแน่นอนว่าภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยจากหนี้ที่มีอยู่ด้วย
ต้นทุนดอกเบี้ยของกระทรวงการคลังสำหรับหนี้สาธารณะก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสูงกว่ารายจ่ายอื่นๆ ทั้งหมดอยู่ที่ 921 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีงบประมาณ เพิ่มขึ้น 6% หรือ 53 พันล้านดอลลาร์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของกระทรวงการคลังส่วนใหญ่คงที่อยู่ที่ 3.3% เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเพิ่มขึ้นมา 2 เบซิสพอยต์จากปีก่อน
สหรัฐฯแบกหนี้ 36 ล้านล้านดอลลาร์สูงสุดในโลก
ประเด็นเรื่องหนี้สาธารณะของสหรัฐฯเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายจับตา เพราะปัจจุบันนี้มีมูลค่าสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์หรือคิดเป็น 122% ของ GDP ถือว่าเป็นประเทศที่มีมูลค่าหนี้สาธารณะมากที่สุดในโลก และมูลค่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นถึงไตรมาสละ 1 ล้านล้านดอลลาร์
โดยปัจจุบันนี้เจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประกอบด้วย
เจ้าหนี้ภายในประเทศ 75% หรือ 27.2 ล้านล้านดอลลาร์ ได้แก่
ผู้ลงทุนบุคคล กองทุนรวมและกองทุนบำเหน็จบำนาญ ที่มีสัดส่วนการถือครองรวมกันมากที่สุด (15.16 ล้านล้านดอลลาร์)
หน่วยงานของรัฐ (7.36 ล้านล้านดอลลาร์)
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (4.63 ล้านล้านดอลลาร์)
เจ้าหนี้ต่างประเทศอีก 25% หรือ 9.05 ล้านล้านดอลลาร์
โดยประเทศที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
ญี่ปุ่น (1.13 ล้านล้านดอลลาร์)
สหราชอาณาจักร (779.3 พันล้านดอลลาร์)
และจีน (765.4 พันล้านดอลลาร์)
ขณะที่ล่าสุดก็มีประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายจับตาเรื่องหนี้ของสหรัฐฯ ว่าจะพุ่งสูงไปอีกหรือไม่ เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายใหม่ ในพิธีวันชาติสหรัฐที่ผ่านมา เป็นกฎหมายที่มาจากการผลักดันของทรัมป์ ที่ถูกเรียกว่า One Big Beautiful Bill หรือกฎหมายที่ยิ่งใหญ่และงดงาม ซึ่งประกอบไปด้วยนโยบายต่างๆของทรัมป์ ที่สำคัญ คือ การมาตรการลดภาษี และตัดรายจ่ายหลายอย่างของรัฐบาล ซึ่งหลายฝ่ายโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจประเมินว่าอาจจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นไปอีกมหาศาลจนเกิดความเสี่ยงต่อประเทศได้
เส้นตายภาษี ทรัมป์เก็บเรียบคู่ค้าทั่วโลก
1 สิงหาคม 2568 คือเส้นตายล่าสุดของภาษีทรัมป์ ที่จะเริ่มโกยเงินครั้งใหญ่จากการรีดภาษีสินค้าๆที่นำเข้าสู่สหรัฐอเมริกา โดยประเทศคู่ค้าต่างๆได้รับแจ้งอัตราที่แตกต่างกันไปผ่านทางจดหมายที่ทรัมป์ได้ร่อนถึง แม้หลายประเทศจะยังมีความหวังว่าจะได้รับการพิจารณาลดภาษีลง ผ่านการยื่นข้อเสนอ หรือยอมแลกหลายอย่าง
นอกจากนี้ยังภาษีสินค้าสำคัญในภาคอุตสาหกรรมอย่างทองแดง ก็จะถูกกำแพงภาษีจัดเก็บสูงขึ้นถึง 50% ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้เช่นกัน โดยประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่าเพื่อความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้รัฐบาลทรัมป์ยังไม่จบแค่นี้อย่างแน่นอน เพราะมีการประกาศอีกแล้วว่าสหรัฐฯกำลังเตรียมเก็บภาษีสินค้าเซมิคอนดักเตอร์และยาเพิ่มเติมอีกด้วย
สหรัฐฯกำลังร่ำรวยจากภาษีที่รีดจากทุกประเทศ โดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐ เบสเซนต์ได้เสนอแนะให้เพิ่มการจัดเก็บภาษีศุลกากรให้มากขึ้นอีก โดยแจ้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การจัดเก็บภาษีประจำปีนี้ อาจเพิ่มขึ้นไปถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
