KAMART ใช้เงินลงทุนล่าช้า บล.กสิกรฯลดเป้ากำไร-ราคาหุ้นลง
#KAMART #ทันหุ้น – บทวิเคราะห์หุ้น KAMART โดย บล.กสิกรไทย
การใช้เงินลงทุนที่ล่าช้าจะกดดันแนวโน้มการเติบโต
มุมมองที่ระมัดระวังของเรามาจากแนวทางที่ท้าทายของผู้บริหาร การใช้เงินทุนจากการเพิ่มทุน
ที่ล่าช้า และเงินสดสุทธิต่อไตรมาสที่ลดลง
บล.กสิกรไทยปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2568/69 ลง 9.8%/9.7% เนื่องจากเราตัดส่วนแบ่งกำไรออกจากงบกำไรขาดทุนและแทนที่การสร้างมูลค่าจากเงินเพิ่มทุนด้วยมูลค่าเงินสดสุทธิต่อหุ้น
บล.กสิกรไทยคงคำแนะนำ "ถือ" และลดราคาเหมาะสมสิ้นปี 2568 ลง 9.3% เป็น 12.14 บาท การประเมินมูลค่าดูแพงด้วย PER ปี 2567/68 ที่ 20.7/18 เท่า เทียบกับ CAGR ของ core EPS 3 ปีที่ 13% และ ROE ที่ 20%/21%
Investment Topics
บล.กสิกรไทยได้พบกับผู้บริหารของ KAMART เพื่ออัปเดตแนวโน้มธุรกิจ ประการแรก ผู้บริหารมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายรายได้ในปี 2567 ที่ 3.25 พันลบ. และอัตรากำไรสุทธิที่ 24%เพิ่มขึ้น 49.7% YoY ขณะที่เป้าหมายในปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ที่ 4 พันลบ. และอัตรากำไรสุทธิที่ 22.5% เพิ่มขึ้น 15.4% YoY ประการที่สอง กำไรในไตรมาส 4/2567 มีแนวโน้มเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากรายได้ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งเป็นผลจากการเปิดตัวสินค้า SKU ใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ประการที่สาม อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะทรงตัว YoY เนื่องจากส่วนลดผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10-15 ลบ. QoQ จากค่าใช้จ่ายพิเศษจากการจัดงานฉลองครบรอบ 15 ปีของ KAMART ประการที่สี่ บริษัทฯ มีแผนจะประกาศดีลการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยมุ่งเน้นการเข้าซื้อกิจการในกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
แนวโน้ม เรายังคงมุมมองที่ระมัดระวังต่อแนวโน้มของ KAMART ประการแรก แนวทางของผู้บริหารสำหรับปี 2567 ดูเหมือนจะท้าทาย เนื่องจากต้องการการเติบโตของรายได้ในไตรมาส 4/2567 ที่ 44% YoY และการเติบโตของกำไรปกติที่ 128% YoY เมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้และกำไรปกติในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 30.5% และ 28.3% YoY ตามลำดับ ประการที่สอง เรามีความกังวลเกี่ยวกับการใช้เงินทุนจากการเพิ่มทุนที่ล่าช้า และเงินสดสุทธิต่อไตรมาสที่ลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงขาลงและประสิทธิภาพที่ลดลงในโครงสร้างเงินทุน เราสังเกตว่าเงินสดสุทธิในไตรมาส 3/2567 ของบริษัทฯ ลดลง 30% จาก 1,267 ลบ. เหลือ 884 ลบ. ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ระยะสั้นและการลงทุนในหุ้น IPO ได้แก่ MEDEZE มูลค่า 87.75 ลบ. และ SNPS มูลค่า 12.6 ลบ.
การปรับประมาณการกำไร เพื่อสะท้อนถึงเงินสดสุทธิที่ลดลง เราได้ปรับวิธีการประเมินมูลค่าเงินเพิ่มทุนจากการสร้างมูลค่าผ่านส่วนแบ่งกำไรในงบกำไรขาดทุน (P&L) มาเป็นการสร้างมูลค่าผ่านเงินสดสุทธิต่อหุ้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2568/69ลง 9.8%/9.7% โดยตัดรายได้ส่วนแบ่งกำไรปี 2568/69 ออกไป 86 ลบ./95 ลบ. ทั้งนี้ หากบริษัทฯ สามารถสร้างอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) ที่ 15%จากการใช้เงินสดส่วนเกินเดิม1.6 พันลบ.จาก Marubeni ได้ จะส่งผลให้มีความเสี่ยงขาขึ้นต่อประมาณการกำไรปกติปี 2568/69 ของเราที่ 10.8%/10.8%
Valuation and Recommendation
บล.กสิกรไทยยังคงคำแนะนะนำ "ถือ" สำหรับ KAMART พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลงจาก 13.39 บาท เหลือ 12.14บาท แม้เราคาดว่าธุรกิจหลักของ KAMART จะยังคงแข็งแกร่งและมี core EPS เติบโตที่ 13% ในอีก 3 ปีข้างหน้า เทียบกับสมมติฐานการเติบโตก่อนหน้าที่ 17%แต่เรามองว่าโอกาสในการเติบโตของกำไรยังคงถูกกดดันจากการใช้งานเงินสดส่วนเกินที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพโครงสร้างเงินทุน เมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นที่ลดลง 3.8% YTD การประเมินมูลค่าปัจจุบันยังค่อนข้างแพง โดยซื้อขายด้วย PER ปี 2567/68 ที่ 20.7เท่า/18 เท่า เทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของ Core EPS ที่ 13% ROE ปี 2567/68 ที่ 20.4%/21.6%และอัตราตอบแทนจากเงินปันผลปี 2567/68 ที่ 3.4%/3.6%
ราคาเป้าหมายเราปรับลดราคาเป้าหมายลง 9.3% จาก 13.39 บาท เหลือ 12.14 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรของเรา เราประเมินมูลค่าธุรกิจเครื่องสำอางของ KAMART ที่ 11.43 บาท โดยใช้ PER ที่ 18.4 เท่า (รวม PER ในอดีตที่ 20.7 เท่า และ PER เชิงปัจจัยพื้นฐานที่ 16 เท่า) เทียบกับ PER แบบผสมก่อนหน้าของเราที่ 21.6 เท่า นอกจากนี้ เราประเมินการใช้เงินทุนจากการเพิ่มทุนโดยอิงเงินสดสุทธิต่อหุ้น ณ ไตรมาส 3/2567 ซึ่งให้มูลค่ายุติธรรมที่ 0.70 บาท ทั้งนี้ หากผู้บริหารสามารถบรรลุเป้าหมายกำไรปี 2568 ที่ 900 ลบ. และใช้เงินทุนจากการเพิ่มทุน 1.6 พันลบ.ได้อย่างเต็มที่ จะส่งผลให้มีความเสี่ยงขาขึ้นเพิ่มขึ้น 17% หรือมูลค่ายุติธรรมส่วนเพิ่มที่ 2.00 บาท