รีเซต

กพช. อนุมัติ 5 มาตรการ หนุนมั่นคงพลังงานปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่

กพช. อนุมัติ 5 มาตรการ หนุนมั่นคงพลังงานปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่
ทันหุ้น
28 พฤศจิกายน 2568 ( 18:02 )

กพช. อนุมัติ 5 มาตรการ หนุนมั่นคงพลังงานปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่ 

#ทันหุ้น #SET กพช. ไฟเขียว 5 มาตรการใหญ่หนุนความมั่นคงพลังงานประเทศ เดินหน้าปรับโครงสร้างก๊าซใหม่ อนุมัติลงทุนติดตั้ง Topside ท่าเทียบเรือ LNG มาบตาพุด ลุยโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 MW พร้อมส่วนลดค่าไฟครัวเรือน คุมเข้มโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPS) ดัน Data Center ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไทยสู่ยุคดิจิทัล

วันนี้ (28 พฤศจิกายน 2568) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 4/2568 (ครั้งที่ 174) โดยนายยอรรถพลฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาวาระสำคัญด้านที่สำคัญและมีมติเห็นชอบ ดังต่อไปนี้ เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่

 โดยให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติทุกภาคส่วน ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่เข้าและออกจากโรงแยกก๊าซ รวมถึงก๊าซที่ใช้ผลิตก๊าซหุงต้ม (LPG) ใช้ต้นทุนเท่ากับราคาเฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ขณะที่ก๊าซธรรมชาติสำหรับการผลิตไฟฟ้า ภาคขนส่ง (NGV) และภาคอุตสาหกรรม 

จะใช้ราคา Pool Price ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของก๊าซจาก 3 แหล่ง ได้แก่ อ่าวไทย เมียนมา และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นำเข้า โดยราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย ที่เข้าโรงแยกก๊าซจะมีราคาสูงกว่าราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่นำมาคำนวณใน Pool Price ร้อยละ 10 ซึ่งโรงแยกก๊าซธรรมชาติเป็นผู้รับภาระส่วนต่างราคา โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป 

อย่างไรก็ดีเปิดโอกาสให้สามารถทบทวนโครงสร้างราคาได้ หากสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเปลี่ยนแปลงหรือมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ

เห็นชอบให้บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ Topside หรืออุปกรณ์สูบถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากเรือขนส่ง LNG เข้าสู่สถานี LNG ณ ท่าเทียบเรือที่ 2 ของสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด แห่งที่ 2 จังหวัดระยอง วงเงินลงทุน 3,385 ล้านบาท ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2571 พร้อมมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาการส่งผ่านภาระการลงทุนไปยังผู้ใช้พลังงานเฉพาะเท่าที่จำเป็น

อนึ่ง ปัจจุบัน สถานี LNG แห่งที่ 2 มีอุปกรณ์ Topside ติดตั้งอยู่เฉพาะท่าเทียบเรือที่ 1 ขณะที่ท่าเทียบเรือที่ 2 เป็นท่าเรือเปล่าที่ก่อสร้างรองรับการติดตั้งไว้ตามแผนเดิม อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่สถานีเปิดให้บริการในปี 2565 ปริมาณเรือ LNG ที่เข้ามาเทียบท่าที่ 1 สูงกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้ต้องมีการซ่อมบำรุงใหญ่เร็วกว่ากำหนด กพช. จึงเห็นควรเร่งติดตั้งอุปกรณ์ Topside ที่ท่าเทียบเรือที่ 2 เพื่อรองรับการให้บริการในช่วงซ่อมบำรุงท่าเทียบเรือที่ 1 และเพื่อให้สถานีสามารถรักษาความต่อเนื่องของการรับเรือและจ่ายก๊าซธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยเสริมความมั่นคงของระบบพลังงานของประเทศในระยะยาวอีกด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ได้มีมติเห็นชอบกรอบหลักการโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน (Community-based Solar Power Generation Project) รวมถึงอัตรารับซื้อไฟฟ้าและแนวทางการกำหนดส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย (ประเภท 1) ที่เข้าร่วมโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน โดยรูปแบบโครงการจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ โดย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ ด้วยอัตรา Feed-in Tariff (FiT) ในอัตรา 2.1679 บาทต่อหน่วย สัญญาซื้อขายไฟฟ้า มีระยะเวลา 25 ปี ในรูปแบบ Non-Firm โดย กฟภ. เป็นผู้นำส่งและจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการฯ ไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยซึ่งอยู่ในพื้นที่ชุมชนที่โครงการตั้งอยู่ โดย กฟภ. จะให้ส่วนลดไฟฟ้ากับครัวเรือนที่มีสถานะเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย (ประเภท 1) ในชุมชนที่มีโรงไฟฟ้าได้รับการคัดเลือกมาแล้วมากกว่า 1 เดือน โดยมีสูตรการคำนวณส่วนลดค่าไฟฟ้าซึ่งได้คำนึงถึงอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโครงข่ายระบบไฟฟ้าแล้ว

สำหรับการกำหนดพื้นที่ชุมชนที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการฯ นายอรรถพลฯ ย้ำว่า จะต้องคำนึงถึงศักยภาพด้านพื้นที่ที่ใช้ในการพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับขนาดกำลังการผลิต ปริมาณและรูปแบบการใช้ไฟฟ้า (Load Profile) ของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย (ประเภท 1) ในพื้นที่ชุมชนให้สอดคล้องกับรูปแบบการผลิตไฟฟ้าของโครงการ และต้องคำนึงการกระจายประโยชน์จากโครงการให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง (มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๒๐๐ หน่วยต่อเดือน) เป็นสำคัญ 

ในส่วนของการคัดเลือกเอกชนผู้พัฒนาโครงการในแต่ละพื้นที่ชุมชนจะพิจารณาจากความพร้อมด้านคุณสมบัติและเทคนิค โดยใช้หลักการยื่นข้อเสนอก่อนได้สิทธิ์การพิจารณาก่อน (First Come First Served: FCFS) เพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่าเอกชนที่ได้รับคัดเลือกจะมีความสามารถในการพัฒนาโครงการให้สำเร็จและจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามแผนที่กำหนดไว้ ตลอดจนสามารถดำเนินโครงการอย่างมีประสิทธิภาพได้ตลอดอายุสัญญา นายอรรถพลฯ ระบุว่า ผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละราย มีสิทธิได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้พัฒนาโครงการ ได้สูงสุดไม่เกิน 30 เมกะวัตต์

 โดย กฟภ. จะเป็นผู้พิจารณาคำเสนอขายไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคัดเลือกที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนด นอกจากนี้ในส่วนของการดำเนินการเพื่อให้มีการกำกับดูแลให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และมีการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อโครงข่ายระบบไฟฟ้าและการให้บริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายตลอดอายุสัญญา เอกชนผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้พัฒนาโครงการต้องมีการเข้าร่วมทุนกับบริษัทในเครือของ กฟภ. ก่อนลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โดยถือว่ามีคุณสมบัติเป็นผู้ร่วมทุนของบริษัทในเครือของ กฟภ. โดยไม่ต้องพิจารณาคุณสมบัติอื่นอีก ทั้งนี้ บริษัทในเครือของ กฟภ. จะถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนด้วยสัดส่วน ร้อยละ 10 ตลอดอายุสัญญา

นายอรรถพลฯ กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. เห็นชอบ แนวทางการดำเนินการสำหรับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าระหว่างเอกชนกับเอกชน (IPS) เพื่อตอบรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่ม IPS โดยนายอรรถพลฯ เปิดเผย รายละเอียดแนวทางการดำเนินการสำหรับกลุ่ม IPS ที่ กพช. เห็นชอบแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักดังนี้

1.  กลุ่มที่สามารถพิจารณาอนุญาตได้ต่อเนื่อง ครอบคลุม

1.1              กลุ่มที่สามารถพิจารณาอนุญาตได้อย่างต่อเนื่องทันที ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าใช้เอง (Self-Consumption) ทุกเชื้อเพลิงที่ประกอบกิจการในพื้นที่ผู้ใช้ไฟฟ้า (On-site)

1.2              โครงการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชน (Private PPA) เฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop)

2.  กลุ่มที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาต ครอบคลุม

2.1              โครงการ Self-Consumption ทุกเชื้อเพลิงนอกพื้นที่ผู้ใช้ไฟฟ้า (Off-site)

2.2              โครงการ Private PPA ทุกเชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ Solar Rooftop (ทั้ง On-site และ Off-site)

2.3              ผู้รับใบอนุญาตรายเดิมที่ยื่นขอต่ออายุ/ เปลี่ยนแปลง (ลด/เท่าเดิม) / โอน-ควบรวมกิจการในภายหลัง

โดยในกลุ่ม 2 นี้ จะพิจารณาอนุญาตเฉพาะกรณีที่ สำนักงาน กกพ. ได้รับคำขออนุญาตตาม พรบ. กกพ. พ.ศ. 2550 มาตรา 47 และ 48 แล้ว หรือเป็นโครงการได้รับอนุมัติ/อนุญาต/สิทธิจากรัฐ (เช่น CoP ขั้นต้น, BOI, อ.1, ร.ง.4) ก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2568

3.  กลุ่มชะลอการรับคำขออนุญาตชั่วคราว ครอบคลุมโครงการที่มีลักษณะเดียวกับกลุ่มที่ 2.1 และ 2.2  แต่เป็นโครงการที่สำนักงาน กกพ. ยังไม่ได้รับคำขออนุญาต และโครงการ ยังไม่ได้รับอนุมัติ/อนุญาต/สิทธิจากรัฐ ก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2568 จะถูกชะลอการรับคำขอไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีหลักเกณฑ์หรือนโยบายใหม่ที่ชัดเจน

ทั้งนี้ กพช. อนุมัติตามแนวทาง 3 กลุ่ม ดังกล่าวไปก่อนจนกว่าจะมีหลักเกณฑ์หรือนโยบายใหม่ชัดเจน นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติมอบหมายสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ดำเนินการร่วมกันเพื่อเสนอแนวทางที่เหมาะสมในด้านนโยบายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลกลุ่ม IPS ต่อไป

นายอรรถพลฯ เปิดเผยต่อว่า ที่ประชุม กพช. ยังได้มีมติเห็นชอบหลักการแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า พ.ศ. 2512 โดยเพิ่มกลุ่มผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าประเภท Data Center ตั้งแต่ 200
เมกะวัตต์ขึ้นไป ให้สามารถเป็นลูกค้าตรง (Direct Customer) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ โดยมติดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศ 

เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล การขยายตัวของอุตสาหกรรม Data Center และการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศไทย โดย กฟผ. จะสามารถจ่ายไฟฟ้าจากระบบส่งที่มีความมั่นคงสูงให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่โดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุไฟฟ้าดับ ลดการลงทุนซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบกรณีข้อพิพาทจากการดำเนินการตามนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ในประเด็นเรื่องการพิจารณาขยายกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เกิดจากเหตุสุดวิสัย เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งผลการพิจารณาของ กกพ. ถือเป็นที่สุด 

โดยไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณา และ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำข้อพิพาททางปกครองจากการดำเนินการตามนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในประเด็นอำนาจหน้าที่ของ กพช. ในการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองหรือคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง