รวม 5 ข่าวโซเชียล เจาะใจคนไทยแชร์เรื่องอะไรมากที่สุดในปี 2024
ในยุคที่ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนโลกออนไลน์ โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ไม่เพียงแต่ใช้ในการติดต่อสื่อสารส่วนตัว แต่ยังเป็นแหล่งข่าวสารที่คนไทยต่างพึ่งพาในการติดตามข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ในปี 2024 นี้ เราจะพาคุณไปย้อนดู 5 กระแสข่าวที่ได้รับการแชร์มากที่สุดในโซเชียลมีเดียของไทย ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจและการมีส่วนร่วมของผู้คนในสังคมไทย
แพลตฟอร์มไหน โดนใจคนไทยมากที่สุดในปี 2024
แม้ว่าการเข้ามาของ TikTok จะสร้างกระแสความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่ Facebook ยังคงครองตำแหน่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ใช้งานกว่า 49.1 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 91.5% ของประชากรไทย Facebook ยังคงเป็นช่องทางหลักที่คนไทยใช้ในการติดตามข่าวสารต่าง ๆ และการแชร์ข้อมูลให้กับเพื่อน ๆ และครอบครัว โดยเฉพาะในรูปแบบข้อความและโพสต์ต่าง ๆ ที่ง่ายต่อการเผยแพร่และเข้าถึง
ในขณะที่ LINE ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย มีผู้ใช้งานมากถึง 54 ล้านคน หรือคิดเป็น 75.2% ของประชากรไทย ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สามารถตอบสนองทั้งการติดต่อสื่อสารส่วนตัว การสร้างกลุ่มพูดคุย หรือแม้แต่การติดตามข่าวสารจากสำนักข่าวและองค์กรต่าง ๆ LINE ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการส่งข้อความและการโทร แต่ยังกลายเป็นช่องทางสำคัญในการทำธุรกรรมออนไลน์และบริการต่าง ๆ ที่คนไทยใช้กันอย่างแพร่หลาย
TikTok แม้จะไม่ครองตำแหน่งแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการดูเนื้อหาที่รวบรัดและทันสมัย TikTok มีผู้ใช้งาน 44.38 ล้านคน คิดเป็น 61.8% ของประชากรไทย และกลายเป็นพื้นที่สำคัญในการติดตามข่าวสารต่าง ๆ โดยเฉพาะข่าวที่มีเนื้อหาสั้นกระชับ และสามารถเข้าถึงได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา
ปี 2024 แสดงให้เห็นว่า Facebook และ LINE ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักในการแชร์และติดตามข่าวสารในประเทศไทย ขณะที่ TikTok ก็เป็นแหล่งข่าวที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยการนำเสนอเนื้อหาที่รวดเร็วและเข้าถึงง่าย ท่ามกลางความหลากหลายของแพลตฟอร์มเหล่านี้ คนไทยยังคงแสดงถึงการมีส่วนร่วมในข่าวสารและประเด็นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้โซเชียลมีเดียยังคงเป็นช่องทางที่สำคัญในการเชื่อมโยงผู้คนและการแพร่กระจายข้อมูลในยุคดิจิทัล
ถึงตอนนี้เรามาดูกันว่า 5 กระแสข่าวโซเชียลที่คนไทยแชร์มากที่สุดในปี 2024 คือ มีเรื่องอะไรบ้าง?
กระแส "หมูเด้ง" ฮิปโปแคระสวนสัตว์เขาเขียว ไม่ใช่แค่ไทยแต่เอ็นดูกันทั้งโลก
ภาพจาก Facebook : ขาหมูแอนด์เดอะแก๊งค์
"หมูเด้ง" ฮิปโปแคระตัวน้อยจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศไทยและระดับโลกในปีนี้ ถึงขนาดได้รับรางวัล "คนมีสไตล์" จากนิตยสารชื่อดังระดับโลกอย่าง New York Times นอกจากนี้ยังได้รับการยอมรับอย่างล้นหลามจากผู้คนทั่วโลกผ่านโซเชียลมีเดีย จนทำให้ความนิยมของหมูเด้งขยายไปสู่ระดับสากล
"หมูเด้ง" เป็นลูกฮิปโปแคระที่เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ที่สวนสัตว์เขาเขียว เพื่อให้เป็นการมีส่วนร่วมกับประชาชน สวนสัตว์เขาเขียวได้จัดให้มีการโหวตชื่อให้กับลูกฮิปโปแคระ โดยมีตัวเลือกชื่อ "หมูแดง", "หมูสับ", และ "หมูเด้ง" ซึ่งชื่อ "หมูเด้ง" ได้รับคะแนนโหวตมากที่สุดกว่า 20,000 เสียง
ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารักและพฤติกรรมขี้เล่น ทำให้ "หมูเด้ง" กลายเป็นที่รักของทั้งผู้คนในประเทศและต่างประเทศ จากพฤติกรรมขี้วีน ขี้รำคาญ และการงับขาพี่เลี้ยงที่สร้างความเอ็นดูให้กับผู้ชมมากมาย
** กระแสในโซเชียลมีเดียและความสนใจจากสื่อต่างประเทศ **
ความน่ารักของหมูเด้งได้รับการพูดถึงอย่างมากในโซเชียลมีเดีย โดยผู้คนได้แชร์คลิปและภาพของหมูเด้งอย่างแพร่หลายมีอัตราการสร้างเอนเกจเมนต์กว่า 86 ล้านเอนเกจเมนต์ในเดือนกันยายน เกิดมาแค่ 2 เดือนก็กลายเป็นซุปตาร์ นอกจากนี้ สื่อต่างประเทศเช่น BBC และ National Geographic ยังให้ความสนใจรายงานเกี่ยวกับมัน ทำให้ชื่อเสียงของหมูเด้งขยายไปยังผู้ชมทั่วโลก
นอกจากชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว “หมูเด้ง” ยังกระตุ้นให้ มีจำนวนผู้เข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีผู้มาเยือนถึง 20,000 คน การเพิ่มขึ้นของผู้เข้าชมสวนสัตว์ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันถึงความนิยมของหมูเด้ง แต่ยังช่วยสนับสนุนการส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างฮิปโปแคระอีกด้วย
ความนิยมของหมูเด้งไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนสนุกสนานกับความน่ารักของมันเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจกรรมต่าง ๆ ของสวนสัตว์ สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ธรรมชาติในยุคปัจจุบัน
หมูเด้งจึงไม่ใช่แค่ฮิปโปแคระตัวน้อยที่น่ารัก แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความรักและการห่วงใยในสิ่งแวดล้อมและสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่สมควรได้รับการสนับสนุนและอนุรักษ์อย่างยั่งยืน.
“เบียร์ เดอะวอยซ์” กับ “แฟนเพื่อนสนิท” วาระแห่งชาติชาวเน็ตเผือกกันข้ามปี
ภาพจากเฟซบุ๊ก : Bizcuitbeer
"เบียร์ เดอะวอยซ์" หรือ ภัสรนันท์ อัษฏมงคล นักร้องสาวที่มีชื่อเสียงจากรายการ The Voice Thailand ซีซั่น 3 ในช่วงปี 2567 เธอเผชิญกับประเด็นดราม่าหลายครั้งที่ได้รับความสนใจจากสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะประเด็นของการถูกสงสัยว่ากำลังกิ๊กกับแฟนเพื่อน เรื่องดังกล่าวลุกลามไปถึงพิธีกรหนุ่มชื่อดังอย่าง “หนุ่ม กรรชัย” ดูเผินๆ แล้วเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นข่าวบันเทิงทั่วไป แต่ต้องยอมรับว่ากระแสข่าวนี้เรื่องนี้สร้างเอนเกจเมนต์ในโลกโซเชียลแบบมหาศาล ทำเอาชาวเน็ตขุดกันแบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทั้งใน ไลฟ์สด และ แฮชแท็กบน X
** ดรามา “เบียร์ เดอะวอยซ์" ขุดมันกันข้ามปี **
ทั้งนี้เรื่องราวดราม่าของ "เบียร์ เดอะวอยซ์" ที่เกิดขึ้นในงานปาร์ตี้คริสต์มาสของปี 2023 กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในโลกโซเชียลอย่างกว้างขวางในช่วงเดือนมกราคม 2024 โดยเจ้าของเพจ "เจ้าคุณพระโรส" ได้โพสต์เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ลักลอบคบหากับแฟนของเพื่อนในงานปาร์ตี้ ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายและนำไปสู่การเลิกราของเพื่อนกับแฟน สร้างกระแสในทวิตเตอร์อย่างรุนแรง พร้อมทั้งมีการโยงว่า "มือที่สาม" ในเรื่องนี้คือนักร้องสาว "เบียร์ เดอะวอยซ์"
เรื่องราวนี้ทำให้ชาวเน็ตพากันขุดคุ้ยหานักร้องสาวที่ถูกกล่าวถึง และหลายคนสันนิษฐานว่า "เบียร์ เดอะวอยซ์" คือมือที่สามในเหตุการณ์นี้ นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่แชทลับระหว่างเบียร์กับแฟนของผู้ชายในเรื่อง ซึ่งยิ่งทำให้ประเด็นนี้ร้อนแรงมากขึ้น
"เบียร์ เดอะวอยซ์" ได้ออกมาชี้แจงผ่านการไลฟ์สด ว่าตนเองไม่ได้มีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหา และยืนยันว่าเป็นเพียงเพื่อนกับฝ่ายชายเท่านั้น ตนยังบอกว่าได้พูดคุยกับฝ่ายหญิง และอธิบายว่าเรื่องที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีการใส่สีใส่ไข่ ซึ่งไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ฝ่ายชายเองก็ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลยกับเบียร์ และมีคลิปจากกล้องวงจรปิดยืนยันว่าเหตุการณ์ในงานปาร์ตี้ไม่ได้เป็นตามที่ถูกกล่าวหา ขณะที่ฝ่ายหญิงก็โพสต์ข้อความชี้แจงว่าเธอยังไม่ได้เลิกกับแฟน และแค่มีปัญหากันตามประสาคู่รักทั่วไป โดยในงานปาร์ตี้นั้นเธอเห็นฝ่ายชายโน้มตัวเข้าหาเบียร์ และหลังจากนั้นฝ่ายชายบอกว่าไม่รักเธอแล้ว แต่ยังยืนยันว่าเรื่องที่เธอบอกไปนั้นเป็นความจริง
** เรื่องพลิกไปพลิกมาไม่รู้ใครถูกใครผิด **
อย่างไรก็ตาม กระแสก็กลับตีกลับไปที่ฝ่ายหญิงที่ออกมาแฉเบียร์ โดยกล่าวหาว่าเธอแชร์เรื่องราวเกินจริงจากความหึงหวง หลังจากนั้นมีการปล่อยคลิปเสียงของเบียร์ที่ยอมรับว่าเคยรู้สึกดีใจและมีความสุขที่ได้อยู่กับฝ่ายชาย ซึ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตติดตามอย่างใกล้ชิด
ในที่สุด "เบียร์ เดอะวอยซ์" ก็ออกมาไลฟ์สดอีกครั้ง เพื่อชี้แจงประเด็นทุกอย่าง โดยในไลฟ์สดนี้มีผู้ชมมากถึง 3 แสนคน เจ้าตัวระบุว่า ฝ่ายชายเป็นคนมาปรึกษาตนเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับฝ่ายหญิงที่ไม่เป็นสุข และยอมรับว่าฝ่ายชายจูบตนจริงในงานปาร์ตี้ แต่ตนเองได้ขอโทษและรับปากว่าจะเลิกยุ่งกับฝ่ายชาย ซึ่งปัจจุบันทั้งสองเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เนื่องจากเหตุการณ์พลิกไปพลิกมาอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งมีการพาดพิงเรื่อง “แชทลับ” โยงไปถึง “หนุ่ม กรรชัย” ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวที่ชาวเน็ตแชร์มากที่สุดของปี 2024 ข่าวนึงเลยทีเดียว
วันที่ 4 มีนาคม 2567 “วันกระเทยไทยผ่านศึก” สมรภูมิรบสุขุมวิท 11 โลกต้องจารึก
ภาพจาก X
วันที่ 4 มีนาคม 2567 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เพียงแต่กลายเป็นกระแสในวงการสังคมไทย แต่ยังได้รับการพูดถึงไปทั่วโลก เมื่อสาวประเภทสองชาวไทยรวมตัวกันในย่านสุขุมวิท 11 เพื่อล้างแค้นและปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง หลังจากเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์ที่มีเรื่องเขม่นกันมาก่อน
ชนวนเหตุการณ์ราดน้ำมันบนไฟแค้น
เหตุการณ์เริ่มต้นในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 4 มีนาคม 2567 ขณะที่กลุ่มสาวประเภทสองชาวไทยกำลังนั่งรับประทานอาหารที่ร้านริมถนนสุขุมวิทใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสนานา จู่ๆ พวกเขาก็พบกับกลุ่มสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์ที่เคยมีเรื่องทะเลาะกันมาก่อน จนเกิดการปากเสียงและบานปลายเป็นการลงไม้ลงมือกันนอกร้านอาหาร โดยฝ่ายสาวประเภทสองฟิลิปปินส์ที่มีอยู่ประมาณ 20 คน รุมทำร้ายกลุ่มสาวประเภทสองไทยที่มีเพียง 4 คน ทำให้ฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บ
** พี่น้องสาวสองการรวมตัวเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี - ตำรวจห้ามทัพจนหัวปวด **
หลังจากที่เหตุการณ์การรุมทำร้ายถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย สาวประเภทสองทั่วประเทศไทยเริ่มรู้สึกถึงการถูกเหยียดหยามและถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีของตัวเอง จึงเริ่มรวมตัวกันที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พักของกลุ่มสาวประเภทสองฟิลิปปินส์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ แม้จะไม่ได้มีการนัดหมายล่วงหน้า บางคนยังขับรถมาจากพัทยาและภูเก็ตเพื่อร่วม "ศึกครั้งนี้" แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
การรวมตัวดังกล่าวสร้างความตึงเครียดในพื้นที่และตำรวจต้องเข้ามาห้ามปรามเพื่อขอความร่วมมือไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากการประท้วงที่เกิดขึ้นยาวนานไม่น้อย สถานการณ์ค่อยๆ สงบลงไป แต่เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงต่อไปในสื่อสังคมออนไลน์
การรวมตัวของสาวประเภทสองชาวไทยกลายเป็นกระแสโด่งดังในโซเชียลมีเดียในทันที โดยมีแฮชแท็ก #สุขุมวิท11 ที่ได้รับการแชร์และมีการมีเอ็นเกจเมนต์ทะลุ 13,186,696 ครั้ง และถูกแชร์ใน X กว่า 3,622,916 ครั้งภายในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้เหตุการณ์นี้ได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศ เช่น เดลีเมล์ ที่รายงานข่าวนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงคำถามเกี่ยวกับการทำงานของชาวต่างชาติในประเทศไทย รวมถึงการดูแลความปลอดภัยของกลุ่มคนข้ามเพศในสังคมไทยอย่างจริงจัง
"วันกระเทยไทยผ่านศึก" จึงไม่ใช่แค่เหตุการณ์การทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นในสุขุมวิท 11 แต่เป็นการแสดงออกถึงการปกป้องศักดิ์ศรีของสาวประเภทสองไทยที่ไม่ยอมให้ตัวเองถูกเหยียบย่ำ หรือถูกดูหมิ่นจากกลุ่มอื่น แม้เหตุการณ์นี้จะจบลงในที่สุด แต่ก็ได้ทิ้งประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัย และสิทธิของกลุ่มคนข้ามเพศที่ควรได้รับการให้ความสำคัญในสังคมไทย
“แม่ตั๊ก - ป๋าเบียร์” อุทาหรณ์คน F ไว สุดท้ายสุดช้ำได้ของไม่ตรงปก
เฟซบุ๊ก กรกนก สุวรรณบุตร
เป็นเรื่องราวที่กล่าวขวัญกันในโลกโซเชียลโดยเฉพาะ ชาว TikTok ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากเป็นดรามาที่กลายมาเป็นคดีดัง อีกทั้งยังเป็นอุทาหรณ์ให้เหล่าขาช้อปออนไลน์ และ ผู้ที่ชื่นชอบการลงทุนในทรัพย์สินประเภท “ทองคำ” หลังจากที่ ในวันที่ 23 กันยายน 2567 รายการ โหนกระแส ได้เสนอประเด็นร้อนเกี่ยวกับการขายทองออนไลน์ โดยเฉพาะกรณีของ แม่ตั๊ก กรกนก แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง ที่ถูกกล่าวหาว่าขายทองที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่โฆษณา โดยเหตุการณ์นี้เริ่มจากการที่มีผู้ใช้ TikTok แชร์คลิปประสบการณ์การซื้อทองจากการไลฟ์ของแม่ตั๊ก ซึ่งพบว่าเมื่อไปขายทองที่ร้านทองกลับไม่มีร้านไหนรับซื้อ เนื่องจากไม่สามารถระบุเปอร์เซ็นต์ทองและไม่มีเครื่องหมายการค้าบนสินค้าดังกล่าว
** จุดเริ่มต้นของประเด็น “แม่ตั๊ก - ป๋าเบียร์” ถูกกล่าวหาขายของปลอม **
เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งเผยแพร่คลิปวิดีโอเกี่ยวกับการซื้อทองจากไลฟ์สตรีมของแม่ตั๊ก โดยสินค้าเป็นสร้อยและจี้ไอ้ไข่ แต่เมื่อผู้ซื้อพยายามนำทองไปขายต่อที่ร้านทอง กลับพบว่าไม่มีร้านไหนรับซื้อ เนื่องจากทองไม่สามารถระบุเปอร์เซ็นต์และไม่มีเครื่องหมายการค้า ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้า
หนึ่งในผู้เสียหาย เล่าว่าเธอซื้อกำไลทองคำปี่เซียะจากแม่ตั๊กในราคา 30,000 กว่าบาท โดยเชื่อว่าเป็นทอง 99.99% แต่เมื่อพยายามนำทองไปขายหรือจำนำที่ร้านทอง กลับพบว่าไม่สามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสม และต้องยอมจำนำที่ร้านรับจำนำในราคาที่ต่ำกว่ามาก ซึ่งทำให้รู้สึกว่าราคาที่ซื้อมานั้นเกินจริง
ข้อครหาดังหล่าว แม่ตั๊ก และ ป๋าเบียร์ สามีของเธอ ได้มาในรายการเพื่อชี้แจงว่า ร้านของตนขายทองหลากหลายประเภท ทั้งทองรูปพรรณทั่วไปที่เป็นทอง 96.5% และทองมงคล แต่ยอมรับว่าในการไลฟ์สดบางครั้งอาจไม่ได้ระบุน้ำหนักหรือเปอร์เซ็นต์ทองอย่างชัดเจน และยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงลูกค้า พร้อมประกาศว่าจะรับซื้อทองคืนเต็มราคาสำหรับลูกค้าที่ไม่พอใจ
** เพราะรัก และ เชื่อใจอินฟลูฯ สุดท้ายเหมือนถูกหักอก **
ผู้เสียหายหลายรายเผยว่า พวกเขาซื้อทองจากแม่ตั๊กเพราะความชื่นชอบและความเชื่อมั่นในตัวเธอ ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ช่วยเหลือผู้อื่น แต่บางคนรู้สึกผิดหวังจากคำตอบของแม่ตั๊กในประเด็นนี้ เช่น "เงินอยู่ในกระเป๋าเรา ไม่พอใจก็อย่าชักเงินออกมา" ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ได้รับการเอาใจใส่
ในท้ายรายการ แม่ตั๊กได้ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าเธอไม่ได้ขายทองปลอม และยอมรับว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเธอและครอบครัว โดยเฉพาะลูกสาว เธอประกาศว่าจะทุ่มเทเพื่อปกป้องครอบครัวและชื่อเสียง พร้อมย้ำว่าจะยอมรับโทษตามกฎหมายหากพิสูจน์ได้ว่าเธอกระทำผิดจริง และขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วน
ดราม่านี้สะท้อนถึงปัญหาการขายสินค้าออนไลน์ที่ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพให้ชัดเจน และความสำคัญของการให้บริการลูกค้าที่มีความโปร่งใสและซื่อสัตย์ เรื่องนี้ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง มีอัตราการสร้างเอ็นเกจเมนต์ถึง 11 ล้านครั้ง แม้เรื่องราวจะถูกโหมกระพือจาก TikTok แต่แพลตฟอร์มที่เรื่องนี้ถูกพูดถึงกลับเป็น Facebook โดยมีอัตราถึง 60.48%
“หมีเนย” มาสคอตขี้อายที่กลายเป็นไวรัลสุดฮอตในโลกออนไลน์
ในปี 2567 ชื่อของ “หมีเนย” หรือ Butterbear กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกออนไลน์ ด้วยความน่ารักขี้อายและท่าทางการเต้นกระดุ๊กกระดิ๊กที่แตกต่างจากมาสคอตตัวอื่น ๆ จนสร้างกระแสไวรัลอย่างล้นหลาม มาสคอตตัวนี้เป็นตัวแทนของร้านขนมหวาน Butterbear Cafe ในเครือ Coffee Beans by Dao ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่อบอุ่นและน่าจดจำให้กับแบรนด์
** กำเนิดกระแสไวรัล “หมีเนย” เมื่อมาสคอตกลายเป็นดาราท่านนึง **
กระแสของ “หมีเนย” เกิดขึ้นถึงสองครั้งในปีนี้ รอบแรกคือเดือน มกราคม 2567 “หมีเนย” กลายเป็นที่สนใจครั้งแรกเมื่อปรากฏในคลิปเต้นร่วมกับมาสคอตตัวอื่น ๆ ในกิจกรรมหนึ่ง จุดเด่นคือในขณะที่มาสคอตตัวอื่นเต้นอย่างเต็มที่ “หมีเนย” กลับเต้นเพียงกระดุ๊กกระดิ๊กเล็กน้อยอย่างเขินอาย สร้างความน่ารักที่ชาวเน็ตหลงรัก และกลายเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวของน้อง
ต่อมาในรอบที่สอง คือเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2567 โดยช่วงปลายเดือนพฤษภาคม คลิป TikTok จากประเทศจีนที่มี “หมีเนย” ออกมาปรากฏตัวถูกแชร์ต่อบนแพลตฟอร์ม X (Twitter) จากนั้นกระแสนี้ได้กลับมาที่ไทย โดยมีผู้สร้างคอนเทนต์ใน TikTok นำคลิปเหล่านั้นมาสร้างกระแสใหม่อีกครั้งในเดือนมิถุนายน ความน่ารักของ “หมีเนย” ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางจนกลายเป็นไวรัลและนำไปสู่การสร้าง Collaboration กับแบรนด์อื่น ๆ รวมถึงจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อโปรโมต
** ความสำเร็จของ “หมีเนย” ในโลกออนไลน์ **
เอ็นเกจเมนต์ของหมีเนย สูงถึง 6.5 ล้านครั้ง: ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 10 มิถุนายน 2567 “หมีเนย” ได้สร้างปฏิสัมพันธ์มหาศาลในโซเชียลมีเดีย ด้วยคาแรกเตอร์ชัดเจน แม้จะมีสีหน้าเดียว แต่ความเขินอายและความน่ารักของ “หมีเนย” กลับสื่อสารอารมณ์ได้เหมือนราวว่าตุ๊กตาตัวนี้มีชีวิตจริง และ การนำเสนอผ่านคอนเทนต์ที่สม่ำเสมอและการสร้างสรรค์กิจกรรมที่ตอบโจทย์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
** ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด “หมีเนย” ทำไมถูกแชร์จนเป็นกระแสดัง **
คุณบี สโรจ เลาหศิริ จากเพจ สโรจขบคิดการตลาด และคุณต่อ พุทธศักดิ์ ตันติสุทธิเวท จาก Wisesight ได้กล่าวถึงความสำเร็จของ “หมีเนย” ว่าเกิดจากการทำการตลาดเชิงสร้างสรรค์ที่มุ่งเน้นการสร้างชีวิตให้มาสคอต โดยเปรียบเสมือนการปั้น “บุคคล” ที่มีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว จุดแจ้งเกิดของ “หมีเนย” นั้นมาจากการเป็น “คนที่ใสที่สุดในกลุ่มเพื่อนที่เต้นแรง” ความขัดแย้งเล็ก ๆ นี้ทำให้ “หมีเนย” กลายเป็นที่จดจำและกลายเป็นไวรัลที่แบรนด์สามารถนำมาต่อยอดได้อย่างมหาศาล
ข้อมูลจาก: รวบรวมโดย TNN ONLINE / กองทุนพัฒนาสื่อ / Wisesight