รีเซต

สื่อกัมพูชาเผย แรงงานที่กลับจากไทย หางานได้แค่ 20% อีกครึ่งล้านยังว่างงาน

สื่อกัมพูชาเผย แรงงานที่กลับจากไทย  หางานได้แค่ 20% อีกครึ่งล้านยังว่างงาน
TNN ช่อง16
8 กันยายน 2568 ( 16:34 )
42

คนกัมพูชาแห่กลับบ้าน ออกจากงานจนไทยขาดแรงงาน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังไทย-กัมพูชา เกิดการปะทะระหว่างชายแดนทั้งสองประเทศ ซึ่งทางรัฐบาลกัมพูชา ต่างก็เรียกร้อง ไปถึงออกมาตรการ เพื่อให้คนในประเทศตัวเองเดินทางกลับ พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่าจะหางานให้ด้วย 

แต่ในความเป็นจริง หลังผ่านมาหลายเดือน กลับมีข่าวชาวกัมพูชาลักลอบกลับเข้ามาในไทย เพราะอยากทำงาน ไปถึงล่าสุด ที่สื่อกัมพูชาเองก็รายงานว่า มีชาวกัมพูชาที่ได้งานจริงแค่ 20% เท่านั้น 

สำนักข่าว Kiripost ของกัมพูชารายงานถึงความลำบากของชาวกัมพูชาหลังออกจากไทย ซึ่งหลายคนเล่าว่า แม้จะกลับไปเป็นเดือนแล้ว ก็ยังไม่มีงานทำ โดยอ้างอิง ตัวเลขจาก สถาบันทรัพยากรการพัฒนากัมพูชา (CDRI) ระบุว่า มีแรงงานประมาณ 7.2 แสนคน จากชาวกัมพูชาที่เดินทางกลับไป 9.1 แสนคน แต่มีแรงงานเพียง 21% เท่านั้นที่หางานได้ ขณะที่อีกเกือบครึ่งล้านคนยังคงว่างงาน

CDRI เตือนว่าหากสถานการณ์ยังคงดําเนินต่อไป ความยากจนในหมู่ครัวเรือนอาจเพิ่มจาก 30% เป็นถึง 50% และจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในชนบทของกัมพูชา ที่พึ่งพาการโอนเงิน จากแรงงานข้ามชาติในต่างประเทศมายาวนาน 

เลย โสภณ เจ้าหน้าที่โครงการในประเทศไทยสําหรับศูนย์พันธมิตรแรงงานและสิทธิมนุษยชนระบุว่า ในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ทางการไทยจับผู้อพยพชาวกัมพูชาแล้ว 640 คน ที่พยายามเข้ามาอย่างผิดกฎหมายทางจังหวัดสระแก้ว

โสภณยังเล่าว่า แรงงานชาวกัมพูชาที่กลับประเทศหลายคน เจอกระบวนการสมัครที่ยาวนาน และมีทักษะไม่เพียงพอ เนี่ยงจากหลายคนมีทักษะก่อสร้าง และไม่มีทักษะที่องค์กรต้องการ ทำให้กลับสู่สังคมได้ยาก ทั้งบางคนถึงกลับเดินทางเข้าไปเมืองหลวงอย่างพนมเปญ เพื่อหางาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถที่หางานที่เหมาะสมได้ 

จากการจับกุมผู้เข้าเมืองของทหารกองกำลังบูรพา ที่บริเวณจังหวัดสระแก้วนั้น พบว่าชาวกัมพูชาต่างให้การว่า ลักลอบเข้าไทยเพราะที่กัมพูชาไม่มีงานให้ทำ รัฐบาลไม่ช่วยเหลือ จึงยอมจ่ายค่าหัวเข้ามาทำงานที่ไทย โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางคนละ 5,000 บาท ซึ่งจะจ่ายเมื่อเดินทางถึงปลายทางตามที่ตกลงด้วย


ชีวิตปลอดภัย แต่ไร้งานทำ  

สำนักข่าว Kiripost เอง ยังได้สัมภาษณ์ชาวกัมพูชารายหนึ่ง ที่เดินทางกลับมาพร้อมสามี และลูก 3 คน แต่หลังจากผ่านไป 1 เดือน แม้พวกเขาจะรู้สึกปลอดภัย แต่ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ โดยเธอได้กู้เงินจากธนาคาร และพยายามอยู่ด้วยเงินนั้น แต่ก็มีทั้งภาระค่าใช้จ่ายเรื่องการศึกษาของลูกๆ ทำให้ไม่มีทางเลือก ที่สามีจะต้องกลับไทยเพื่อไปทำงานก่อสร้างอีกครั้ง โดยแม้สามีของเธอมีใบอนุญาตทำงาน แต่เธอกังวลเรื่องความปลอดภัย และการเลือกปฏิบัติ เพราะตอนนี้ที่ไทยมีการคุ้มครองที่จำกัด 

ขณะที่แรงงานชาวกัมพูชาอีกคนนั้น ซึ่งทำงานก่อสร้างในไทยมา 5 ปีแล้ว ก็เล่าว่าเงินเดือนของเขาเพิ่มขึ้นไปถึง 12,000 ต่อเดือน ก่อนการปะทะระหว่างสองประเทศ ซึ่งเขารู้ว่าหากกลับกัมพูชา อาจจะหางานไม่ได้ จึงทำให้เขาเลือกอยู่ในไทยต่อไป “แน่นอนว่าผมกังวลเรื่องความปลอดภัย และการเลือกปฏิบัติผ่านโซเชียลมีเดีย แต่ฉันอยู่ที่ไทยคนเดียว หากมีอะไรเกิดขึ้น ผมจะจัดการเอง ผมยังสามารถหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวของผมได้ แทนที่จะเห็นพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมาน”

เปลี่ยนเศรษฐกิจที่พึ่งพาเงินจากต่างประเทศ เป็นเงินในกัมพูชา ?

แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีกระแสบวกจากภาคอุตสาหกรรมในกัมพูชาเช่นกันว่า ยังมีตำแหน่งงานอีกมากที่พร้อมรองรับ อาร์โนด์ ดาร์ก ซีอีโอของ Thalias Group ในกัมพูชามองว่าภาคอุตสหกรรมยังสามารถดึงคนได้ โดยอ้างตัวเลขจากในปี 2024 ที่โรงงาน 2,175 แห่ง จ้างแรงงาน 1.1 ล้านคน และยังสังเกตว่า กระทรวงแรงงานได้ประกาศงาน 250,000 ตําแหน่งในช่วงต้นเดือนสิงหาคม

“นอกเหนือจากอุตสาหกรรมสิ่งทอแล้ว การก่อสร้างกําลังขยายตัวเกือบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ในปีนี้” จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานไปป์ไลน์ที่จะมียาวไปถึงปี 2033 ทั้งยังมองว่า คนที่กลับมากัมพูชา ส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีประสบการณ์ด้านการเกษตร การก่อสร้าง และการผลิต "ในขณะที่ 55 เปอร์เซ็นต์ขาดการฝึกอบรม แต่พวกเขามีทักษะเชิงปฏิบัติ ทำให้มีการมองเช่นกันว่า แรงงานจะปรับตัวได้ 

ขณะที่ภาคการเงินเอง ก็มองว่าตอนนี้กัมพูชาพึ่งพาเงินจากการโอนเงินของแรงงานต่างชาติ แต่จากนี้ อาจก่อให้เกิดการเงินที่หมุนเวียนในประเทศ ที่ยั่งยืนกว่าแทน โดยซุน เมษา โฆษกกระทรวงแรงงานและวิชาชีพ ระบุว่า มีคนที่เดินทางกลับมา 1.6 แสน ถึง 2 แสนคนที่ได้รับโอกาสในการทํางานผ่านกระทรวงและองค์กรเอกชน และมีอีก 3 แสนคนที่ได้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตรอบรมทักษะแล้ว 

แต่ถึงอย่างนั้นโครงการของศูนย์พันธมิตรแรงงานและสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาก็มองว่า หากเทียบค่าจ้างของไทยกับกัมพูชานั้น “กัมพูชาไม่มีค่าแรงขั้นต่ำระดับชาติที่รับประกันการดํารงชีวิต และความต้องการขั้นพื้นฐานของคนงาน” ซึ่งหากมีการจ้างงานจริง รัฐบาลควรพัฒนานโยบายค่าจ้างพื้นฐาน 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง