รีเซต

44ประเทศ สั่งแบนเดินทางจากแถบแอฟริกาใต้ หวั่นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน"

44ประเทศ สั่งแบนเดินทางจากแถบแอฟริกาใต้ หวั่นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน"
TNN ช่อง16
29 พฤศจิกายน 2564 ( 14:34 )
65
44ประเทศ สั่งแบนเดินทางจากแถบแอฟริกาใต้ หวั่นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน"

วันนี้ (29พ.ย.64) นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น เป็นชาติล่าสุดที่ประกาศคุมเข้มพรมแดน สั่งห้ามชาวต่างชาติรายใหม่จากทุกประเทศ เดินทางเข้าสู่ญี่ปุ่น เนื่องจากหวั่นเกรงการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ "โอไมครอน" โดยเริ่มตั้งแต่ 30 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป

ขณะเดียวกัน หากใครที่เดินทางมาจาก 9 ประเทศในแถบแอฟริกาใต้จะต้องเข้ารับการกักตัวในสถานที่ที่รัฐบาลจัดไว้ให้นาน 10 วัน โดยประกอบด้วย South Africa, Namibia, Lesotho, Eswatini, Zimbabwe, Botswana, Zambia, Malawi and Mozambique.

ไม่เพียงเท่านี้ อีก 14 ประเทศ ที่พบไวรัสตัวนี้ในประเทศแล้วก็จะมีการประกาศมาตรการคุมเข้มเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน 

ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นพบ 1 ใน 32 คนที่เดินทางมาจากประเทศแถบแอฟริกาใต้ มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก และกำลังเร่งตรวจสอบว่าเป็นสายพันธุ์ "โอไมครอน" หรือไม่

โดยก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นก็ปิดพรมแดนอย่างเข้มงวดจากนักเดินทางต่างชาตินับตั้งแต่เริ่มต้นการระบาด ซึ่งแม้กระทั่งชาวต่างชาติที่ทำงานในญี่ปุ่นเองยังไม่สามารถเดินทางเข้าไปอย่างเสรี 

แต่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเพิ่งประกาศว่ากำลังจะเปิดรับนักเดินทางต่างชาติที่เข้ามาติดต่อธุรกิจ, นักเรียน-นักศึกษาต่างชาติ และคนที่ถือวีซ่าให้สามาถเข้าญี่ปุ่นได้ แต่ยังคงไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วไป 

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นแม้จะเริ่มต้นการฉีดวัคซีนล่าช้า แต่จากการเร่งฉีดวัคซีน ทำให้ตอนนี้ฉีดให้ประชากรครบ 2 เข็มแล้ว 76.5%

นอกจากญี่ปุ่นที่เป็นชาติล่าสุดแล้ว รายงานในเวลานี้ พบว่ามีอย่างน้อย 44 ประเทศ ที่ประกาศปิดกั้นการเดินทางจากประเทศแถบแอฟริกาใต้ รวมถึง ประเทศในสหภาพยุโรป, ออสเตรเลีย, สหรัฐฯ, และ แคนาดา ที่เป็นกลุ่มชาติล่าสุดที่ประกาศห้ามการเดินทาง

ขณะที่ตอนนี้มีการตรวจพบไวรัส "โอไมครอน" ในกว่า 10 ประเทศแล้วหลังจากที่เพิ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น "สายพันธุ์ที่น่ากังวล" ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 

โดยเมื่อสุดสัปดาห์ เที่ยวบินโดยสารหนึ่งพบคนติดเชื้อโควิด-19 ถึง 61 คน โดยมีนักเดินทางจากแอฟริกาใต้อย่างน้อย 13 คน ตรวจพบติดไวรัส "โอไมครอน" ที่สนามบินอัมสเตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์ ทำให้ต้องสั่งกักตัวผู้โดยสารของ 2 เที่ยวบินรวม 600 คน แต่มีรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ ตำรวจดัตช์ ได้จับกุม 2 สามีภรรยา หลังพยายามหนีออกจากโรงแรมกักตัว เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับจากแอฟริกาใต้ 

พบ 2 รายที่สหราชอาณาจักร จากการเดินทางจากตอนใต้ของแอฟริกา, สาธารณรัฐเช็ก พบอย่างน้อย 1 ราย จากนามิเบีย เยอรมนีพบ 2 ราย จากผู้โดยสารที่เดินทางจากเคปทาวน์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ออสเตรเลียพบ 2 ราย จากแถบแอฟริกาใต้ ไปยังซิดนีย์  อิตาลี พบ 1 ราย จากนักเดินทางจากโมซัมบิก อิสราเอล พบ 1 ราย หลังเดินทางกลับจากมาลาวี ซึ่งทำให้อิสราเอลเป็นอีก 1 ประเทศที่ประกาศปิดพรมแดน ไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติแม้แต่คนเดียว นานอย่างน้อย 14 วัน 

ประธานาธิบดี ซีริล รามาโฟซา ของแอฟริกาใต้ ประณามมาตรการแบนการเดินทางที่ทั่วโลกบังคับใช้กับแอฟริกาใต้และประเทศเพื่อนบ้าน  ระบุว่า ผิดหวังอย่างยิ่งกับความเคลื่อนไหวที่ไม่ชอบธรรม พร้อมกับเรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวอย่างเร่งด่วน

พร้อมกับระบุว่า คำสั่งแบนการเดินทาง นอกจากจะไม่ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนแล้ว ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม และทำลายศักยภาพในการฟื้นตัวจากโควิดของประเทศที่ได้รับผลกระทบด้วย   การตรวจพบโควิด โอไมครอน เป็นสัญญาณเตือนทั่วโลก ถึงการเรียกร้องความเท่าเทียมด้านวัคซีน  และเตือนว่า การกลายพันธุ์เพิ่มเติมของเชื้อโควิดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกว่าทุกคนจะได้ฉีดวัคซีน 

สำหรับแอฟริกาใต้นั้น ไม่ได้ขาดแคลนวัคซีน ผู้นำได้เรียกร้องให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนมากขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับโควิด 

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า แพทย์หญิงแองเจลีค คุตซี ประธานสมาคมการแพทย์แห่งแอฟริกาใต้ และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐมนตรีด้านวัคซีน เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า  เธอสังเกตเห็นผู้ป่วย 7 คนที่มารักษาตัวที่คลินิก หลังติดโควิดโอไมครอน ว่ามีอาการที่ไม่รุนแรงนัก  พวกเขามีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย และปวดศีรษะเป็นเวลา 2 วัน แต่ไม่ได้สูญเสียการรับกลิ่นและรส รวมถึงระดับออกซิเจนในร่างกายไม่ได้ลดลงมาก  ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยด้วยเชื้อโควิดเดลตา  

พร้อมกับระบุว่า เมื่อพิจารณาจากอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่พบในปัจจุบัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นตระหนก เพราะยังไม่พบผู้ที่มีอาการป่วยหนักจากโควิดโอไมครอน และยังไม่มีสิ่งใดยืนยันว่า เชื้อโควิดกลายพันธุ์สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้  เนื่องจาก ผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอน ที่เธอรับรักษาและมีอาการไม่รุนแรง เกือบ 50% ไม่ได้ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

อย่างไรก็ตาม เธอระบุว่า สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต หากพบผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วมีอาการป่วยหนักจากการติดเชื้อโควิดโอไมครอน ก็อาจจะบ่งชี้ว่า โควิดกลายพันธุ์ตัวนี้ สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันของวัคซีนได้ แต่ขณะนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น


ภาพจาก AFP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง