สถานะ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม 2567 : อัพเดทล่าสุด (22 เมษายน)
การผ่านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1448 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม” ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับกลุ่ม LGBTQIA+ ในประเทศไทย กฎหมายฉบับนี้จะมอบสิทธิมากมายให้กับคู่รักหลากหลายทางเพศ ซึ่งเทียบเท่ากับคู่สมรสชายหญิงตามกฎหมายเดิม
สาระสำคัญ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม
สิทธิการดูแลชีวิตคู่
1. การตัดสินใจเรื่องทางการแพทย์: เมื่อร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว คู่รักหลากหลายทางเพศจะมีสิทธิตัดสินใจในการรักษาพยาบาลแทนกันได้ กรณีที่คู่ชีวิตตนเองไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง หรือกรณีที่เสียชีวิต
2. การจัดการศพ: นอกจากนี้ คู่รักหลากหลายทางเพศยังมีสิทธิในการจัดการศพของคู่ชีวิตตนเองได้อีกด้วย
สิทธิในการแต่งงาน
1. การจดทะเบียนสมรส: เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้แล้ว คู่รักหลากหลายทางเพศจะสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
2. พิธีกรรม: พวกเขาสามารถจัดพิธีแต่งงานได้อย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับคู่สมรสเพศเดียวกัน
3. สิทธิทางกฎหมาย: คู่สมรสหลากหลายทางเพศจะได้รับสิทธิและหน้าที่ต่างๆ ในฐานะคู่สมรสตามกฎหมาย เช่น สิทธิขอสัญชาติ การเป็นตัวแทนกันทางกฎหมาย การรับมรดก สิทธิในทรัพย์สินร่วมกัน และสิทธิในการรับประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐ
4. การหมั้น: คู่รักหลากหลายทางเพศสามารถหมั้นหมายกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยเช่นกัน
สิทธิการเป็นพ่อแม่ของลูก
1. การรับบุตรบุญธรรม: คู่รักหลากหลายทางเพศมีสิทธิรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้
2. สิทธิการเลี้ยงดู: พวกเขามีสิทธิและหน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตรร่วมกันเช่นเดียวกับพ่อแม่ทั่วไป
สิทธิในการหย่าร้าง
1. การฟ้องหย่า: เมื่อมีการสมรสกันแล้ว คู่รักหลากหลายทางเพศย่อมมีสิทธิฟ้องหย่าร้างได้เช่นเดียวกับคู่สมรสทั่วไป
2. สิทธิหลังหย่าร้าง: พวกเขาจะได้รับสิทธิต่างๆ หลังการหย่าร้าง เช่น การแบ่งสินสมรส การเรียกค่าเลี้ยงดู และสิทธิในการดูแลบุตร
นอกเหนือจากสิทธิด้านครอบครัวข้างต้นแล้ว คู่รักหลากหลายทางเพศยังจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น สิทธิในการเข้าถึงบริการของรัฐ การทำงาน การประกอบธุรกิจ การเช่าที่อยู่อาศัย การเข้าถึงระบบยุติธรรม เป็นต้น
การมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมและคุ้มครองสิทธิของคู่รักหลากหลายทางเพศในประเทศไทย
ขั้นตอนการผ่านกฎหมายในประเทศไทย
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาไทยผ่านกระบวนการตามปกติจะเรียกว่า "พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)" โดยมีขั้นตอนหลักคือ การเสนอร่างกฎหมาย การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และการประกาศใช้
ในขั้นตอนการเสนอร่างกฎหมาย ผู้มีสิทธิเสนอได้แก่ คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ส่วนร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10
ขั้นตอนต่อมาคือการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
โดยจะพิจารณาเป็น 3 วาระ ในวาระที่ 1 สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาหลักการทั่วไปของร่างกฎหมาย หากเห็นชอบจะส่งร่างกฎหมายไปยังวุฒิสภา แต่หากไม่เห็นชอบร่างกฎหมายนั้นก็จะถูกตีตก วาระที่ 2 สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาเนื้อหาของร่างกฎหมายทีละมาตรา ขณะที่วุฒิสภาสามารถเสนอแนะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมได้
ในวาระที่ 3 สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติว่าจะรับหรือไม่รับข้อเสนอแนะของวุฒิสภา หากไม่รับข้อเสนอแนะ ร่างกฎหมายจะถูกส่งไปทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แต่หากรับข้อเสนอแนะ ร่างกฎหมายจะถูกส่งกลับไปยังวุฒิสภาเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
ทั้งนี้ หากวุฒิสภาไม่ลงมติภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างกฎหมาย จะถือว่าวุฒิสภามีมติเห็นชอบร่างกฎหมายนั้นแล้ว
หลังผ่านกระบวนการทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงลงพระปรมาภิไธยร่างกฎหมาย และประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป กรณีพิเศษสำหรับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น รัฐสภาจะเป็นผู้พิจารณาวาระที่ 1 และวาระที่ 2 โดยไม่ต้องส่งไปยังวุฒิสภา ขณะที่รัฐธรรมนูญยังกำหนดกรณีพิเศษบางกรณีที่รัฐสภาสามารถออกกฎหมายโดยไม่ต้องผ่านวุฒิสภาได้
สรุปสถานะปัจจุบันของร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม
ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 และสมาชิกวุฒิสภา รับหลักการร่าง ไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ซึ่ง ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การมีกฎหมายรองรับการสมรสของคู่รักเพศเดียวกันในประเทศไทย
ขณะนี้ ร่างกฎหมาย ดังกล่าว ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของวุฒิสภา หากได้รับการรับรองจากวุฒิสภา ร่าง พ.ร.บ.นี้ จะถูกส่งต่อไปยังพระมหากษัตริย์เพื่อพระราชทานพระบรมราชานุญาต และประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
ตามที่ระบุในร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หลังจากนั้น 90 วัน ช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นระยะเวลาสำหรับประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์
โอกาสที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา
ณ วันที่ 22 เมษายน 2567 ยังยากที่จะคาดการณ์โอกาสที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย การลงมติของสมาชิกวุฒิสภาจะเป็นตัวชี้ขาดว่ากฎหมายฉบับนี้จะสามารถผ่านไปสู่ขั้นตอนต่อไปหรือไม่
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสำคัญหลายประการที่อาจส่งผลต่อโอกาสในการผ่านความเห็นชอบ เช่น คะแนนเสียงของสมาชิกวุฒิสภาแต่ละกลุ่ม ประเด็นและมุมมองที่ถูกนำมาอภิปรายในสภา รวมถึงความเห็นของประชาชน นอกจากนี้ แรงกดดันจากสังคม การรณรงค์ของภาคประชาสังคม และความคิดเห็นจากสื่อ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจ
ประเด็นสำคัญอีกประการคือ ผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากการมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ทั้งในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ของประเทศ และการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ปัจจัยเหล่านี้น่าจะมีน้ำหนักในการชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียจากสมาชิกวุฒิสภา
ภาพ Getty Images