“เอกนิติ”สั่งปรับรูปแบบการออมเพื่อลดภาษี “ให้ประชาชนเลือกเอง”

#ทันหุ้น “เอกนิติ”สั่งปรับรูปแบบการออมเพื่อลดหย่อนภาษี กำหนดให้ประชาชนเลือกวิธีออมได้เองจากเดิมภาครัฐกำหนดตามข้อเสนอของตลาดทุน ชี้จะไม่เป็นการบิดเบือนตลาดทุน พร้อมเปิดทางให้ประชาชนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้ง่ายขึ้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า กระทรวงการคลังมีแนวคิดที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการออมที่สามารถนำเงินออมดังกล่าวมาใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษี โดยจะอนุญาตให้บุคคลสามารถเลือกรูปแบบการออมด้วยตนเอง หรือ Individual Saving Account จากเดิมที่กระทรวงการคลังจะกำหนดให้ เช่น การออมผ่านกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุน RMF และ LTF ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ Individual Saving Account เป็นหนึ่งในข้อเสนอของตลาดทุน ซึ่งลักษณะการออมและการลงทุนดังกล่าว จะไม่เป็นการบิดเบือนตลาดทุน
เขากล่าวด้วยว่า ระบบการออมเพื่อการลดหย่อนภาษีในปัจจุบัน เช่น LTF ส่วนใหญ่คนที่ได้รับผลประโยชน์ คือ คนที่มีรายได้สูง และเสียภาษีในฐานภาษีที่ 30 -35% ทั้งนี้ กรมสรรพากร สูญเสียรายได้ภาษี จากการที่คนนำรายจ่ายลงทุนใน LTF มาหักลดหย่อนภาษีปีละประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ 1.6 หมื่นล้านบาท อยู่ในกลุ่มคนที่เสียภาษีในฐาน 30 –35%
นอกจากนี้ การกำหนดให้การออมที่สามารถนำรายจ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ โดยไม่เปิดทางเลือกให้คนออมในการตัดสินใจลงทุนเอง เช่น LTF ในบางกรณีก็เกิดผลขาดทุน รวมถึง เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด
“Individual Saving Account คือ ให้คนเลือกเอง โดยมีเพดานว่าจะไปลงทุนอะไร หุ้นตัวไหน หรือพันธบัตรตัวไหน เหมือนเป็นกรอบลงทุนของแต่ละคน ไม่ต้องมาออกโปรดักส์ใหม่ เช่น LTF RMF หรือESG ที่ต้องออกมาเรื่อย ๆ แล้วมันซ้ำซ้อน ตรงนี้ให้มารวมอยู่ในถังเดียวกัน คนจะได้มีทางเลือกได้ บางคนอยากลงทุนพันธบัตร บางคนรับความเสี่ยงได้สูงก็ลงทุนในหุ้น หรือบางคนไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเขาจะมีอิสระในการเลือกโปรดักส์”
ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อออก LTF ทุกคนก็แห่กันซื้อ เพราะหวังจะได้ภาษี เสร็จแล้วออกมาผลประกอบการกองทุนติดลบ แต่ถ้าให้คนเขาเลือกเอง ว่าจะไปลงทุนตรงไหน เพราะคนสนใจไม่เหมือนกัน
นอกจากนี้ เขายังเสนอ แนวทางการเลือกในการออมของประชาชน ผ่านการลงทุนในพันธบัตรของรัฐบาล ว่า จะทำกลไกให้ประชาชนสามารถซื้อพันธบัตรของรัฐบาลได้ทุกเดือน ซึ่งถือเป็นแนวทางในการออมของคนที่เกษียณ ที่ปัจจุบันปัจจุบัน ฝากเงินแบบออมทรัพย์ในธนาคาร ที่ได้ดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.25 % ซึ่งการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อาจได้ผลตอบแทนสูงกว่า การฝากบัญชีออมทรัพย์ในธนาคาร เพียงเล็กน้อย แต่มีความมั่นคงสูง
ในแง่ภาพรวมของเศรษฐกิจนั้น นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาล จะพยายามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อหยุดไม่ให้เศรษฐกิจไทยดิ่งลงเหว จากการที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เริ่มแผ่วลง ซึ่งไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้ ไทยสามารถขยายตัวได้ 3.2 % ,ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 2.8 % และไตรมาสที่สามคาดอยู่ที่ 1.7 % ขณะที่ ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เห็นแนวโน้มว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงมาก โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.3 % ดังนั้น เราต้องหยุดไม่ให้เศรษฐกิจไทยดิ่งลงเหว เพราะถ้าไม่หยุดการหดตัวดังกล่าว ต่อไปการฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาจะทำยากขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
