รีเซต

“เอกนิติ”ยันเอ็มโอยู”แร่หายาก”ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองการค้ากับสหรัฐได้

“เอกนิติ”ยันเอ็มโอยู”แร่หายาก”ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองการค้ากับสหรัฐได้
ทันหุ้น
28 ตุลาคม 2568 ( 13:54 )
15

#ทันหุ้น “เอกนิติ”ยันเอ็มโอยู”แร่หายาก”ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองการค้ากับสหรัฐได้ ด้านรมว.อุตสาหกรรมแจงข้อตกลงทำตามกฎหมายทุกขั้นตอนไม่มีการ”ลักไก่”โดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า การร่วมลงนามเอ็มโอยูระหว่างไทย-สหรัฐ ในเรื่องแร่หายาก หรือ Rare Earth จะเปิดโอกาสให้ไทยสามารถเจรจาต่อรองในเรื่องมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้หรือReciprocal Tariffsได้

เขากล่าวว่า คณะรัฐมนตรีวันนี้( 28ต.ค.) ได้รับทราบการจัดทำเอ็มโอยูฉบับดังกล่าว ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในการเจรจาภาษีต่างตอบแทนกับสหรัฐ ซึ่งในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้าคณะผู้เจรจาการค้ากับสหรัฐ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นนี้ จะเปิดโอกาสให้ไทยมีโอกาสในการเจรจาต่อรองการค้าต่างตอบแทนกับสหรัฐ ตามช่องทางในภาคผนวกที่ 3 ที่สามารถให้ประเทศที่สหรัฐมีความสัมพันธ์อันดี สามารถเจรจาต่อรองได้ ทั้งในเรื่องสินค้าและบริการ โดยให้ได้รับสิทธิ์พิเศษ ซึ่งอาจเป็นการยกเว้นอัตราภาษีต่างตอบแทนที่ 19 % หรือ มีการลดอัตราภาษีเป็นราย รายการ

ทั้งนี้ เอ็มโอยูดังกล่าว ที่มีช่อเต็มว่า MOU concerning Corporation to diversify Global critical Mini Supply chain and promote investment  มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายโซ่อุปทานในเรื่องแร่หายาก รวมถึงต้องการส่งเสริมการค้าและการลงทุนตลอดกระบวนการ วัตถุประสงค์ของความร่วมมือครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ได้แก่ การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม การสำรวจ การสกัด การแปร รูป การกลั่น การรีไซเคิล และการกู้คืนแร่หายาก

นอกจากนี้ ขอบเขตความร่วมมือยังรวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล (International Best Practice) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย โดย ย้ำว่า เอ็มโอยูนี้ ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์หรือexclusive right สำหรับประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำให้ประเทศไทยสามารถเปิดกว้างและสามารถทำข้อตกลงความร่วมมือกับประเทศอื่นที่มีความชำนาญในส่วนนี้ได้เช่นกัน

นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวยืนยันว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย และประเทศไทยสามารถยกเลิกข้อตกลงได้ ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เชื่อว่านายกรัฐมนตรีได้พิจารณามาดีแล้ว เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากประเทศไทยอยู่ตรงกลาง ซึ่งถือเป็นความยอดเยี่ยมของการบริหารจัดการ

เขากล่าวว่า การดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ช่วยส่งเสริมความมั่นคง ยั่งยืนห่วงโซ่ โดยเฉพาะในด้านการสำรวจและการใช้ประโยชน์แร่ธาตุที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น พลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

นายธนกรยังชี้แจงข้อกังวลว่า การดำเนินการดังกล่าว ไม่ใช่การ "ลักไก่" ของรัฐบาล เนื่องจากเรื่องการทำ เอ็มโอยูได้ผ่านกระบวนการและการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายได้ปรึกษาและพิจารณาแล้วว่าสามารถทำได้

อย่างไรก็ตาม นายธนกรกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้การลงนามเอ็มโอยูจะเป็นประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่สำหรับปริมาณแร่หายากในไทยนั้น เชื่อว่าประเทศไทยมีอยู่หลายชนิดแต่ กระจัดกระจายและมีความเข้มข้นต่ำ ทำให้ ไม่คุ้มค่าสำหรับการลงทุนทำเหมือง ในปัจจุบัน

พร้อมกันนี้ ได้มีการย้ำว่า หากจะมีการลงทุนในประเทศไทยจริง ๆ ผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของไทยอย่างเคร่งครัด รวมถึงมาตรการในการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนด้วย

ด้านนายปกรณ์ นิลพันธ์ เลขาธิการกฤษฎีกา กล่าวว่า ในเอ็มโอยูฉบับนี้ ใช้คำว่า Participant ซึ่งเป็นคู่ภาคีความร่วมมือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เป็น Party ที่เป็น Legal Blinding และข้อตกลงนี้ อยู่ภายใต้กรอบข้อตกลงของ WTO ด้วย

“Participant มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปลงทุน สำรวจในประเทศที่ทำเอ็มโอยูได้ โดยสหรัฐสามารถเข้าไปสำรวจแหล่งแร่หายากในประเทศไทย และไทยก็สามารถเข้าสำรวจในสหรัฐได้เช่นกัน แต่หากมีการลงทุนในประเทศ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายภายในของประเทศ”

ทั้งนี้ เอ็มโอยูฉบับดังกล่าว เกิดขึ้นจากการประชุม ครม.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมนี้ เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งการดำเนินการต่างๆจะต้องเป็นไปตามกฎหมายไทย และการเปิดประมูลต้องเป็นการเปิดประมูลอย่างเสรี เป็นธรรม ตามหลักของ WTO

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง