Google VS Microsoft 2 ยักษ์ใหญ่ มีบริษัท AI อะไรในมือบ้าง
การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นต้องใช้เงินลงทุนไปกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และบุคลากรที่มีความสามารถ รวมไปถึงระยะเวลาการพัฒนา ด้วยตัวอย่างปัจจัยเหล่านี้ จึงมีไม่กี่บริษัทที่สามารถทุ่มทุนเพื่อการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์อย่างก้าวกระโดดได้ เช่น กูเกิล (Google) และ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่ต่างก็ระดมเงินทุนเข้าไปกว้านซื้อหรือถือหุ้นในบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์อย่างต่อเนื่อง
อาจมีผู้คิดว่า โอเพนเอไอ (OpenAI) หรือที่รู้จักจากบริการแชตจีพีที (ChatGPT) นั้นเป็นของไมโครซอฟท์ (Microsoft) จากการเพิ่มทุนครั้งสำคัญด้วยมูลค่า 3 แสนล้านบาท แต่การลงทุนครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการระดมทุนเท่านั้น เพราะที่จริงแล้วบริษัทมีผู้ถือหุ้นหลักหลายราย รวมไปถึงอีลอน มัสก์ (Elon Musk) อภิมหาเศรษฐีที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีหลายด้านอีกด้วย
ถึงแม้ว่าบริษัท ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ไม่ได้เป็นเจ้าของโอเพนเอไอ (OpenAI) แต่ก็ยังเป็นเจ้าของบริษัทลูก (Subsidary) ด้านปัญญาประดิษฐ์รวม 10 บริษัท ในขณะที่คู่แข่งทางการค้าคนสำคัญอย่างกูเกิล (Google) นั้นกลับมีมากถึง 20 บริษัท
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท มาบูลา (Mabuula) ที่เน้นการพัฒนาระบบโต้ตอบกับมนุษย์ คล้ายคลึงกับแชตบอท (Chatbot) ที่รู้จักกันดีอย่างแชตจีพีที (ChatGPT) และไดอะล็อกโฟลว์ (Dialogflow) หรือ เอพีไอดอทเอไอ (API.AI) ของกูเกิล (Google) ในขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบภาษาปัญญาประดิษฐ์ ทั้งคู่ก็ต่างมีบริษัทเป็นของตัวเอง โดยฝั่งกูเกิล (Google) มีดีปไมนด์ (DeepMind) บริษัทผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่เคยเล่นหมากล้อมหรือโกะชนะมนุษย์มาแล้วในอดีต ส่วนฝั่งไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็มี สวิฟต์คีย์ (SwiftKey) เช่นกัน
ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังรวมไปถึงการใช้งานระบบฐานข้อมูล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นก่อนจะกลายเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำยุคในปัจจุบัน โดยกูเกิล (Google) นั้นถือครองบริษัท แคกเกิล (Kaggle) และไมโครซอฟท์ (Microsot) เองก็ถือครองบริษัทเน็ตบรีซ (Netbreeze) เช่นกัน ดังนั้น จึงอาจคาดได้ว่าการไล่ซื้อกิจการหรือการร่วมลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ของทั้ง 2 บริษัท จะยังคงดำเนินต่อไป
ที่มาข้อมูล CB Insights, CNN, Statista