5 สมาร์ทโฟนพันธุ์อึดปี 2025 ซื้อปีนี้ ใช้ยาวจนลูกบวช
ในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนและเทคโนโลยีหมุนไปไวจัดๆ การเปลี่ยนมือถือทุกปีอาจไม่ใช่คำตอบที่คุ้มค่าอีกต่อไป ผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มมองหาความ "ยั่งยืน" มากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการรักโลก แต่เป็นการรักเงินในกระเป๋าด้วย การลงทุนซื้อมือถือสักเครื่องในปี 2025 จึงมีโจทย์ใหญ่คือ "ต้องอยู่ให้ได้นานที่สุด" ทั้งในแง่ของกายภาพที่ต้อง ทนทาน ต่ออุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน และมันสมองหรือ ซอฟต์แวร์ ที่ต้องไม่ถูกลอยแพ อัปเดตไปต่อได้ยาวๆ
จากการรวบรวมข้อมูลเทรนด์เทคโนโลยีและโรดแมปของค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยในปี 2025 เรา True ID ได้คัดสรร 5 สมาร์ทโฟนรุ่นเด็ดที่สอบผ่านเกณฑ์ความอึด ถึก ทน และการันตีการอัปเดตซอฟต์แวร์ระยะยาว เพื่อให้คุณมั่นใจว่าเงินที่จ่ายไปจะกลายเป็นเพื่อนคู่ใจไปอีกครึ่งทศวรรษเป็นอย่างน้อยมาให้แล้ว
1. Samsung Galaxy S25 Ultra ตัวเทพฝั่งแอนดรอยด์
หากพูดถึงคำว่า "เจ็บแต่จบ" ชื่อของ Samsung Galaxy S25 Ultra ต้องลอยมาเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน ในปี 2025 นี้ ซัมซุงได้ยกระดับมาตรฐานความทนทานขึ้นไปอีกขั้นด้วยการใช้วัสดุไทเทเนียมเกรดพิเศษที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ผสานกับกระจกหน้าจอ Gorilla Glass Armor รุ่นอัปเกรดที่ทนต่อรอยขีดข่วนและการตกกระแทกได้ดีที่สุดในตลาด ทำให้คุณแทบจะลืมการติดฟิล์มกันรอยไปได้เลย นอกจากนี้ยังมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 ที่ไว้ใจได้เสมอไม่ว่าจะเจอฝนตกหนักหรืออุบัติเหตุทำตกน้ำ
แต่สิ่งที่ทำให้ Galaxy S25 Ultra เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับการใช้งานระยะยาวคือคำมั่นสัญญาเรื่องซอฟต์แวร์ ซัมซุงการันตีการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android และแพตช์ความปลอดภัยยาวนานถึง 7 ปี นั่นหมายความว่าหากคุณซื้อเครื่องในปี 2025 คุณจะยังคงได้รับฟีเจอร์ใหม่ๆ และความปลอดภัยสูงสุดลากยาวไปจนถึงปี 2032 เลยทีเดียว การลงทุนกับรุ่นนี้จึงเปรียบเสมือนการซื้อคอมพิวเตอร์พกพาที่มีอายุการใช้งานยาวนาน พร้อมชิปเซ็ตระดับเรือธงที่แรงเหลือเฟือสำหรับการใช้งานในอนาคต รุ่นนี้เปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2025 โดยมีช่วงราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 46,900 บาท (สำหรับรุ่น 256GB) ไปจนถึง 62,900 บาท (สำหรับรุ่น 1TB)
2. iPhone 17 Pro Max การลงทุนที่คุ้มค่า มูลค่าไม่ลดฮวบ
ข้ามฟากมาที่ฝั่งผลไม้กันบ้าง กับ iPhone 17 Pro Max ที่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2025 แม้แอปเปิลจะไม่เคยประกาศตัวเลขปีการอัปเดตที่เป็นทางการเหมือนฝั่งแอนดรอยด์ แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า iPhone หนึ่งเครื่องสามารถไปต่อได้ยาวนาน 6 ถึง 7 ปี สบายๆ โดยที่เครื่องไม่หน่วง จุดเด่นของรุ่นนี้คือการปรับปรุงวัสดุ Ceramic Shield เจเนอเรชันใหม่ที่หน้าจอ ซึ่งมีความเหนียวแน่นทนทานต่อแรงกระแทกมากขึ้น ประกอบกับขอบเครื่องไทเทเนียมที่มีการขัดแต่งผิวสัมผัสให้ทนต่อรอยนิ้วมือและรอยขีดข่วนได้ดียิ่งขึ้น พร้อมมาตรฐานการกันน้ำที่เชื่อถือได้
ในแง่ของระบบภายใน ชิป A19 Pro ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับล้ำหน้า คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ iPhone 17 Pro Max มีอายุยืนยาว ประสิทธิภาพการจัดการพลังงานและความแรงของมันเผื่อเหลือเผื่อขาดไปได้อีกหลายปี นอกจากนี้ Ecosystem ของ iOS ยังเป็นระบบปิดที่มีความเสถียรสูง ทำให้แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี เครื่องก็ยังทำงานได้ลื่นไหล ที่สำคัญคือราคาขายต่อของ iPhone ยังคงแข็งแกร่งที่สุดในตลาด ทำให้เมื่อถึงวันที่ต้องเปลี่ยนเครื่องจริงๆ คุณก็ยังได้ทุนคืนกลับมาพอสมควร iPhone 17 Pro Max เปิดตัวในช่วงเดือนกันยายน 2025 โดยมีช่วงราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 48,900 บาท (สำหรับรุ่น 256GB) ไปจนถึง 80,900 บาท (สำหรับรุ่น 2TB)
3. Pixel 10 Pro สายซอฟต์แวร์บริสุทธิ์ ลูกรัก Google
สำหรับใครที่ชอบความคลีน ความลื่นไหล และความฉลาดของ AI ต้องยกให้ Google Pixel 10 Pro ซึ่งแม้จะไม่ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่ก็มีร้านค้าและผู้นำเข้าอิสระนำเข้ามาจำหน่ายอยู่เสมอ ในปี 2025 นี้ กูเกิลได้พัฒนาระบบภายในให้มีเสถียรภาพมากขึ้นด้วยชิป Tensor G5 และตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้ทนทานด้วยมาตรฐาน IP68 และใช้วัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูงที่แข็งแรง
จุดขายสำคัญที่ทำให้ Pixel 10 Pro ติดโผนี้คือการเป็น "ลูกรัก" ของ Google โดยตรง คุณจะได้รับการการันตีอัปเดต OS และความปลอดภัยยาวนาน 7 ปีเต็ม เช่นเดียวกับซัมซุง แต่สิ่งที่พิเศษกว่าคือฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่กูเกิลมักจะส่งมาให้ผู้ใช้ Pixel ได้เล่นก่อนใครเสมอ ทำให้รู้สึกเหมือนได้มือถือใหม่ตลอดเวลา แม้เครื่องจะเก่าแล้วก็ตาม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้มือถือเพื่อการทำงานและต้องการผู้ช่วย AI ที่ฉลาดที่สุดในโลกพกติดตัวไปตลอด เนื่องจากเป็นการนำเข้า ราคาจึงผันผวน โดยมีช่วงราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 39,000 - 43,500 บาท (สำหรับรุ่น 256GB)
4. Xiaomi 15 Ultra อสูรกายถ่ายภาพที่โครงสร้างแกร่งดั่งหินผา
Xiaomi 15 Ultra ไม่ได้มีดีแค่กล้อง Leica ที่ถ่ายสวยระดับโลกเท่านั้น แต่ในปี 2025 เสียวหมี่ได้หันมาให้ความสำคัญกับความทนทานของโครงสร้างอย่างจริงจัง ด้วยการใช้โครงสร้างที่แข็งแกร่งและกระจกป้องกันรอยทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่ทนต่อการตกกระแทกบนพื้นคอนกรีตได้ดีเยี่ยม พร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ที่ทำให้คุณพกพาไปลุยถ่ายรูปได้ทุกที่โดยไม่ต้องกังวล
ในด้านซอฟต์แวร์ Xiaomi ได้ปรับปรุงนโยบายการอัปเดตให้ดียิ่งขึ้น โดยการันตีการอัปเดต Android นาน 4 รุ่น และแพตช์ความปลอดภัย 5 ปี ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปจนคุ้มราคา ระบบปฏิบัติการ HyperOS เวอร์ชันใหม่ยังถูกออกแบบมาให้กินทรัพยากรเครื่องน้อยลง ทำให้แม้สเปกจะเก่าลงตามกาลเวลา แต่ความลื่นไหลของระบบจะยังคงอยู่ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้ฮาร์ดแวร์ระดับท็อป กล้องเทพ และงานประกอบที่แน่นหนา รุ่นนี้วางจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2025 โดยมีช่วงราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 42,990 บาท (สำหรับรุ่น 512GB) ไปจนถึง 46,900 บาท (สำหรับรุ่น 1TB)
5. Samsung Galaxy A56 5G ฮีโร่รุ่นกลางที่ยืนระยะได้เกินราคา
ปิดท้ายด้วยตัวเลือกสำหรับคนที่มองหาความคุ้มค่าสูงสุด ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงระดับเรือธงก็ใช้ยาวๆ ได้ กับ Samsung Galaxy A56 5G สมาร์ทโฟนระดับกลางที่ยืมดีเอ็นเอความอึดมาจากรุ่นพี่ ในปี 2025 นี้ A56 ยกระดับวัสดุตัวเครื่องด้วยกรอบโลหะและกระจกป้องกันรอย ซึ่งหาได้ยากในมือถือราคาระดับเดียวกัน พร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67 ที่สามารถจมน้ำจืดได้ลึก 1 เมตร นาน 30 นาที ช่วยชีวิตเครื่องได้สบายๆ หากเกิดอุบัติเหตุทำตกน้ำ
ความใจป้ำของซัมซุงคือการมอบนโยบายการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้กับซีรีส์ A แทบจะเทียบเท่าเรือธง โดยการันตีการอัปเดต Android นาน 4 รุ่น และความปลอดภัย 5 ปี ทำให้ Galaxy A56 5G กลายเป็นมือถือระดับกลางที่ "อายุยืน" ที่สุดในตลาดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน สเปกภายในที่ให้มาก็มีความสมดุล เพียงพอต่อการใช้งานแอปพลิเคชันทั่วไปและโซเชียลมีเดียได้ลื่นไหลไปอีกหลายปี เป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคนงบน้อยแต่ต้องการความมั่นใจระยะยาว รุ่นนี้เปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2025 โดยมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ประมาณ 13,999 บาท
โดยสรุปสำหรับการเลือกซื้อมือถือคู่หูในปี 2025 เพื่อใช้งานระยะยาว หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความแรงของชิปเซ็ตเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ "ความรับผิดชอบ" ของแบรนด์ที่มีต่อผู้บริโภคผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ และ "ความใส่ใจ" ในการเลือกใช้วัสดุที่ทนทาน ทั้ง 5 รุ่นที่แนะนำมานี้คือตัวแทนของความคุ้มค่าในระยะยาว ที่จะทำให้คุณไม่ต้องปวดหัวกับการเปลี่ยนมือถือบ่อยๆ และช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้กับโลกใบนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ