โลกร้อนไม่ใช่ภัยเงียบ ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังหายไป เข้าใกล้จุดวิกฤตอย่างไม่มีวันย้อนกลับ

ท่ามกลางวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากอดีต และกำลังส่งผลให้ธารน้ำแข็งในทั่วโลกกำลังละลาย เหตุการณ์ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์พังถล่มทับหมู่บ้านด้านล้างเทือกเขาหายวับไปกับตาภายในระยะเวลาไม่กี่นาทีเป็นเครื่องยืนยันที่ทำให้หลายคนต้องหันกลับมาสนใจวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศอีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นได้ในทั่วทุกภูมิภาคเนื่องจากธารน้ำแข็งในทั่วโลกกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการคุกคามจากภาวะโลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า การพังทลายของธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์มีสาเหตุจากชั้นดินเยือกแข็งละลายและเกิดเกิดแตกตัวของธารน้ำแข็ง ซึ่งธารน้ำแข็งที่กำลังพังทลายในทั่วโลกล้วนมีสาเหตุและปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าหนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นมีเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น
นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ระบุอีกด้วยว่า ถึงแม้จะสามารถหยุดยั้งภาวะโลกร้อนได้สำเร็จ แต่ธารน้ำแข็งเหล่านั้นก็จะยังคงละลายต่อไป เนื่องจากสภาพอากาศในปัจจุบันก็สามารถทำให้ธารน้ำแข็งส่วนใหญ่หายไปได้ โดยโลกจะสูญเสียธารน้ำแข็งถึงร้อยละ 40 แต่หากสามารถจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีสได้สำเร็จ ก็อาจจะช่วยรักษาปริมาณน้ำแข็งได้มากขึ้น 2 เท่า
ในช่วงระยะที่ผ่านมา การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเร่งให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วมากกว่าที่เคย นับตั้งแต่ปี 1950 ธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอลป์ละลายไปแล้วกว่าร้อยละ 50 และในช่วงปี 2022-2023 สวิตเซอร์แลนด์สูญเสียธารน้ำแข็งไปถึงร้อยละ 4-6 ต่อปี ซึ่งนับเป็นอัตราที่เร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ การละลายของธารน้ำแข็งยังก่อให้เกิดภัยพิบัติตามมาอีกมากมาย ทั้งการก่อตัวของทะเลสาบเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็ง เมื่อไหลลงสู่ทะเลก็จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น เกิดการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่ง กลายเป็นวัฏจักรลูกโซ่ที่ส่งผลกระทบกับโลกอย่างไม่รู้จบ