“BRI” ร่วมทุน 6 บิ๊กแลนด์ลอร์ด ประเดิม Q1/66 กวาดยอดโอน 1,400 ลบ.
BRI สร้างรากฐานการเติบโต ไตรมาส 1/2566 จับมือร่วมทุน 6 บิ๊กแลนด์ลอร์ดหัวเมืองใหญ่ กรุงเทพฯ-โคราช-ขอนแก่น-อุดรธานี-ชลบุรี เตรียมแผนพัฒนาบ้านจัดสรร 8 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,000 ล้าน พร้อมประเดิมผลงานกวาดยอดโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องเกือบ 1,400 ล้าน รุกเดินหน้าต่อไตรมาส 2/2566 จ่อเปิดโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,800 ล้านก่อนโหมบุกเปิดโครงการจัดเต็มครึ่งปีหลัง ฟากโบรกฯ มีมุมมองเป็นบวกต่อกำไรปกติ Q1/66 ที่คิดเป็น 24% เมื่อเทียบกับประมาณการกำไรทั้งปี 2566 แนะนำซื้อ ประเมินพื้นฐาน 13.40 บาท
นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับเจ้าของที่ดิน (Landlord) รายใหญ่จำนวน 6 ราย ในหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วประเทศ เพื่อร่วมทุนกันพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมในพื้นที่กรุงเทพฯ นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และชลบุรี รวมทั้งสิ้นจำนวน 8 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 7,000 ล้านบาท
“เราได้รับการตอบรับและการสนับสนุนที่ดีจากบรรดาเจ้าของที่ดิน หลังเปิดโมเดล Your Land to New Businessพร้อมข้อเสนอแบบ Win-Win ความร่วมมือทั้งหมดที่เกิดขึ้น จะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เรา 4 ด้าน 1.ช่วยให้บริษัทมีโอกาสเข้าถึงที่ดินทำเลศักยภาพมากขึ้น 2.ช่วยให้บริษัทมีความพร้อมพัฒนาโครงการใหม่ได้ทันทีในจังหวะเวลาที่เหมาะสม 3.ช่วยให้บริษัทขยายอาณาจักรการเติบโตของบริทาเนียได้อย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ B to The Top โดยเฉพาะการขยายอาณาจักรในพื้นที่ต่างจังหวัดและ 4.ช่วยให้มีคู่คิดร่วมดำเนินธุรกิจที่มีความเข้าใจในท้องถิ่นและทำเลเหล่านั้นเพิ่มขึ้น โดยการร่วมทุนครั้งนี้ คาดว่าจะพัฒนาทุกแบรนด์เพื่อให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ตามความต้องการของตลาดไม่ว่าจะเป็น แบรนด์ไบรตัน (Brighton) บริทาเนีย (Britania)แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania)และเบลกราเวีย(Belgravia) ทั้งนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาโอกาสร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินเพิ่มเติมอีกหลายราย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นายสุรินทร์ กล่าว
นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา มีการเปิดโครงการใหม่จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการบริทาเนีย มะลิวัลย์ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถปิดการขาย (Sold Out) โครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12 อีกด้วย สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทสามารถสร้างยอดขาย (Presale) ได้เท่ากับ 2,545 ล้านบาท และมียอดโอนกรรมสิทธิ์รวมกว่า 1,394 ล้านบาทเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ประมาณ 10% ทั้งนี้บริษัทยังมีส่วนรายได้ค่าบริหารโครงการ (Management Fee)จากโครงการร่วมทุน เท่ากับ 358 ล้านบาทมีรายได้รวมเท่ากับ 1,477ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 329 ล้านบาท
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 จะถือเป็นช่วงที่บริษัทให้ความสำคัญกับการเสริมความแข็งแกร่งระยะยาวให้แก่บริษัท ได้แก่1.การจับมือพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อเสริมแกร่งการเติบโตทางธุรกิจระยะยาว 2.การเดินหน้าดูแลสังคมตามกลยุทธ์ B The Goodness อาทิ การลงพื้นที่เดินหน้าโครงการ Craft Parkพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพื่อชุมชน ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน การร่วมมือกับมูลนิธิบ้านนกขมิ้น จัดทีมงานสัญจร เดินทางไปรับสิ่งของที่ผู้บริโภคไม่ใช่แล้ว สู่โอกาสของน้องๆ เยาวชน 3.การเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติม มีแผนเปิดตัว 3 โครงการในไตรมาสที่ 2 มูลค่ารวม 3,800 ล้านบาท ได้แก่ บริทาเนีย อยุธยา มูลค่า 1,400 ล้านบาท,บริทาเนีย เทพารักษ์ ศรีนครินทร์ มูลค่า 1,200 ล้านบาท และบริทาเนีย บางนา กม. 39 มูลค่า 1,200 ล้านบาท
ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลัง จะเป็นช่วงที่บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเต็มกำลังถึง 16 โครงการทั่วประเทศ คาดว่าภาพรวมผลการดำเนินงานทั้งปี จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย
**โบรกฯ แนะซื้อ เคาะพื้นฐาน 13.40 บ.
บล.หยวนต้า มีมุมมองเป็นบวกต่อกำไรปกติ Q1/66 ที่คิดเป็น 24% เมื่อเทียบกับประมาณการกำไรทั้งปี 2566 ของฝ่ายวิจัยที่ 1.3 พันลบ. (+27.5% YoY) โดยเฉพาะถ้าประเมินตามแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ช่วง Q2/66 ที่ 3.8 พันลบ., Q3/66 ที่ 4.3 พันลบ. และจะทำจุดสูงสุดในช่วง Q4/66 รวมมูลค่ากว่า 1.3 หมื่นลบ. จะเป็นปัจจัยสำคัญหนุน Presale และผลประกอบการให้เติบโตขึ้น QoQ และ YoY ทุกไตรมาสในปีนี้
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 13.40 บาท/หุ้น (อิง PER66 ที่ 8.5x) ราคาปิดวานนี้เทียบเท่า PER66 ที่เพียง 6.7x ต่ำกว่าคาเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 7.8x และหากประเมินราคาปัจจุบันกับแนวโน้มการเติบโต PEG Ratio ในปี 2566 จะอยู่ที่เพียง 0.24x ถูกเป็นอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ประเมิน BRI มีโอกาสปรับเปลี่ยนนโยบายการจ่ายเงินปันผลจาก 1 ครั้งต่อปี เป็น 2 ครั้งต่อปี แบ่งเป็นงวดการดำเนินงาน 1H และ 2H คล้ายกับอุตสาหกรรม จึงจะเป็นอีกหนึ่ง Catalyst ในการเก็งกาไรเมื่อเข้าใกล้ช่วงการรายงานผลประกอบการ Q2/66