รีเซต

2568 ปีแห่ง “พายุ” ไทยเจอ 7 ลูกใน 5 เดือน

2568 ปีแห่ง “พายุ” ไทยเจอ 7 ลูกใน 5 เดือน
TNN ช่อง16
30 ธันวาคม 2568 ( 11:30 )

ปี พ.ศ. 2568 ได้ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จากการวิเคราะห์ข้อมูลอุตุนิยมวิทยา พบว่า ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อนรวม 7 ลูก ภายในช่วงเวลาเพียง 5 เดือน คือตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เน้นย้ำถึงความถี่และความเข้มข้นของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

พายุทั้ง 7 ลูก ได้แก่ วิภา, คาจิกิ, หนองฟ้า, รากาซา, บัวลอย, แมตโม, และคัลแมกี ไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดปริมาณฝนสะสมสูงเท่านั้น แต่ยังกระจายผลกระทบครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่ภาคเหนือตอนบนลงไปถึงภาคใต้ โดยเฉพาะพายุ "บัวลอย" ที่ก่อให้เกิดการประกาศเตือนภัยถึง 34 จังหวัดพร้อมกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขอบเขตความเสียหายที่กว้างขวางและความจำเป็นในการจัดสรรทรัพยากรฉุกเฉินอย่างมหาศาลตลอดช่วงฤดูฝนที่ยาวนานกว่าปกติ


ปัจจัยขับเคลื่อนทางภูมิอากาศและกลไกการเสริมกำลังของมรสุม

ความถี่ที่สูงเป็นพิเศษของการก่อตัวและการเคลื่อนตัวของพายุในปี 2568 มีความเชื่อมโยงกับสภาวะภูมิอากาศในภูมิภาค รายงานคาดการณ์สภาพอากาศระยะยาวระบุว่า การก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกและการเคลื่อนตัวผ่านทะเลจีนใต้ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในประเทศไทย ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่นำฝนมาโดยตรงเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ "เสริมกำลัง" ให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีความรุนแรงและต่อเนื่องยิ่งขึ้น

การเสริมกำลังของมรสุมทำให้ปริมาณฝนในประเทศไทยสูงกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกและฝั่งตะวันตกของภาคใต้ รูปแบบดังกล่าวได้สร้างปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น เนื่องจากการตกของฝนที่เกิดจากอิทธิพลพายุและมรสุมที่ถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่รับน้ำอิ่มตัวเร็วยิ่งขึ้น พื้นที่ตอนบนของประเทศจึงมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากทันทีเมื่อมีพายุลูกใหม่เคลื่อนตัวเข้ามา

พายุลูกที่ “วิภา”

พายุหมุนเขตร้อนลูกแรกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในปี 2568 คือ "วิภา" ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 20กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป โดยพายุได้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศจีนช่วงกลางก.ค. และต่อด้วยเวียดนามตอนบน จากนั้นอ่อนกำลังลงบริเวณประเทศลาวตอนบน ซึ่งแม้ว่าพายุวิภาจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำก่อนเข้าถึงประเทศไทย แต่ก็ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคกลางด้านตะวันตก และทำให้ “น่าน” เกิดน้ำท่วมหนักที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

พายุวิภา ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไทยตรง ๆ แต่อิทธิพลของพายุทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงวันที่ 22 ถึง 24 กรกฎาคม 2568 ดังนั้น การที่พายุหมุนเขตร้อนที่สลายตัวแล้วสามารถเสริมกำลังของมรสุมได้นั้น แสดงให้เห็นว่าปริมาณฝนสะสมรวมตลอดทั้งปีไม่ได้มาจากพายุที่พัดเข้าโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการมรสุมที่มีกำลังแรงจากพายุ นำไปสู่การเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องและเป็นวงกว้างในพื้นที่ที่ยังไม่ถึงช่วงที่มีฝนชุกสูงสุด ส่งผลให้พื้นดินเกิดความอิ่มตัวของน้ำก่อนช่วงวิกฤตที่กำลังจะมาถึง 


พายุลูกที่ “คาจิกิ”

ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ประเทศไทยได้เตรียมรับมือกับพายุอีกลูกคือ "คาจิกิ" โดยเคลื่อนเข้ามาทางเวียดนามตอนบน ก่อนอ่อนกำลังลงบริเวณลาวตอนบน ส่งผลกระทบต่อหลายจังหวัดทางภาคอีสานตอนบนและภาคเหนือ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือน ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2568 ซึ่งการที่คาจิกิเกิดขึ้นในระยะเวลาที่สั้นมากหลังพายุวิภา และเกิดขึ้นก่อนช่วงเวลาที่จะเข้าสู่ช่วงฝนชุกในเดือนกันยายน ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องยกระดับการเตือนภัย เนื่องจากพื้นที่บางส่วนยังคงได้รับผลกระทบจากฝนสะสมก่อนหน้า 


พายุลูกที่ 3 “หนองฟ้า” 

พายุ "หนองฟ้า" ส่งผลกระทบในช่วงรอยต่อของเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2568 ซึ่งตามคาจิกิมาติด ๆ  โดยพายุได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเวียดนามตอนบน ก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำและได้เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมบริเวณจังหวัดเลย ก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือ

พายุหนองฟ้าเป็นพายุที่ส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ ได้แก่ ภาคเหนือ (เช่น เชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน), ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เช่น เลย, อุดรธานี), ภาคกลาง (เช่น นครสวรรค์, กาญจนบุรี), ภาคตะวันออก (เช่น ระยอง, จันทบุรี), และภาคใต้ (เช่น ชุมพร, ภูเก็ต) ผลกระทบหลักคือ มีฝนตกหนักถึงหนักมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะในพื้นที่ลาดเชิงเขา 


 พายุลูกที่ 4 “รากาซา” 

พายุ "รากาซา" ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนกันยายน ประมาณวันที่ 24 – 25 กันยายน 2568 โดยขึ้นฝั่งบริเวณเวียดนามตอนบน และมาอ่อนกำลังลง แถวๆลาวตอนบน อิทธิพลของพายุนี้ ทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ตอนบนของประเทศหลายแห่ง โดยมีการเตือนภัยเฉพาะจุดในจังหวัด เช่น แม่ฮ่องสอน, ตาก, บึงกาฬ, อำนาจเจริญ, และอุบลราชธานี 

อย่างไรก็ตาม การที่จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อุบลราชธานี ได้รับการเตือนภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากทั้งพายุหนองฟ้า และรากาซา เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความเปราะบางทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญของพื้นที่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลุ่มน้ำมูลและชีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่มักประสบปัญหาอุทกภัยซ้ำซากเมื่อพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนผ่านคาบสมุทรอินโดจีน

พายุลูกที่ 5 “บัวลอย”

พายุ "บัวลอย" ส่งผลกระทบในช่วงวันที่ 29 ก.ย.- 1 ต.ค. โดยมีทิศทางเคลื่อนขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบน และลาวตอนบน แม้ไม่เข้าไทยตรงๆ แต่ก็กระทบหลายพื้นที่ทางภาคอีสานตอนบนและภาคเหนือตอนบน 

โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนพร้อมกันใน 34 จังหวัด ซึ่งเป็นช่วงที่ฤดูฝนที่อยู่ในช่วงที่มีฝนชุกที่สุด ความรุนแรงของบัวลอยทำให้เกิดฝนตกหนักและฝนสะสม ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน, น้ำป่าไหลหลาก, และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มและพื้นที่ลาดเชิงเขา

และการที่พายุลูกใหญ่ (วิภา, คาจิกิ, หนองฟ้า, รากาซา) ได้ทิ้งปริมาณน้ำสะสมไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ทำให้ระบบอ่างเก็บน้ำและพื้นที่รองรับน้ำ ในประเทศหลายแห่งอิ่มตัวและเต็มความจุไปแล้ว การมาถึงของ “บัวลอย” จึงเปรียบเสมือนการเติมน้ำหยดสุดท้ายลงในภาชนะที่เต็มอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมสูงขึ้นทันทีในหลายพื้นที่


พายุลูกที่ 6 “แมตโม”

พายุ "แมตโม" เคลื่อนขึ้นฝั่งที่ประเทศจีน และต่อด้วยเวียดนามตอนบน ช่วงวันที่ 5-6 ต.ค. จากนั้นก็เริ่มส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในช่วงวันที่ 7 ตุลาคม 2568  ซึ่งเป็นเดือนที่โดยเฉลี่ยทางสถิติแล้วประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อพายุมากที่สุด ซึ่งแมตโมก็เป็นพายุอีกลูกที่ไม่ได้เข้าไทยตรงๆ แต่ส่งผลกระทบต่อหลายจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน

พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น หนองคายและบึงกาฬ จัดเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญบริเวณแม่น้ำโขงและลุ่มน้ำสาขา การที่เกิดฝนตกหนักอย่างรุนแรงในพื้นที่เหล่านี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่การเกิดน้ำท่วมในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการไหลของน้ำข้ามพรมแดน ซึ่งอาจทำให้เกิดความจำเป็นในการประสานงานที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและการระบายน้ำในลุ่มน้ำตอนล่างกับประเทศเพื่อนบ้าน


พายุลูกที่ 7 “คัลแมกี”

พายุ "คัลแมกี" เป็นพายุลูกสุดท้ายใน 7 ลูกที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 โดยส่งผลกระทบในช่วงวันที่ 7 ถึง 9 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งพายุลูกนี้นับเป็นลูกแรกของปี ที่เคลื่อนเข้าไทยตรง ๆ โดยเคลื่อนเข้าประเทศไทยบริเวณภาคอีสานตอนล่าง โดยพายุนี้มีความรุนแรงในแง่ของปริมาณฝน โดยมีการประกาศเตือนพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจาก ฝนตกหนักมาก โดยเฉพาะพื้นที่ของทางภาคอีสานตอนล่างได้แก่ มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, อำนาจเจริญ นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, และอุบลราชธานี

พายุที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถือเป็นพายุปลายฤดูกาล ซึ่งมักจะเคลื่อนตัวช้าลงเนื่องจากกระแสลมนำร่องอ่อนกำลังลง  การเคลื่อนตัวที่ช้าลงนี้ส่งผลให้เกิดฝนตกในปริมาณมากอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นในพื้นที่จำกัด การที่คัลแมกีมุ่งเป้าไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหลักและเป็นพื้นที่ที่เปราะบางอยู่แล้วจากพายุก่อนหน้า (รากาซาและบัวลอย) ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุทกภัยฉับพลันและน้ำท่วมขังอย่างรุนแรงในพื้นที่สำคัญทางการเกษตรเหล่านี้


การเผชิญกับพายุที่มีผลกระทบหลัก 7 ลูกอย่างต่อเนื่องตลอด 5 เดือน ได้สร้างความเสียหายสะสมต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม ความถี่ของพายุที่พัดผ่านพื้นที่เพาะปลูกหลักในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน นำมาซึ่งความเสียหายต่อพืชผลจำนวนมหาศาล หากอ้างอิงจากสถิติความเสียหายในอดีต เหตุการณ์พายุหมุนเขตร้อนเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้พื้นที่เพาะปลูกเสียหายได้กว่า 2,035,858 ไร่ ดังนั้น ความเสียหายรวมจากพายุ 7 ลูกในปี 2568 จึงน่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ความสูญเสียเหล่านี้ส่งผลกระทบที่ใหญ่กว่าการสูญเสียผลผลิตโดยตรง เนื่องจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซากในพื้นที่เกษตรกรรมหลักหลายแห่ง ก่อให้เกิดภาวะชะงักงันในห่วงโซ่อุปทาน การขนส่ง และการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งนำไปสู่แรงกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยให้กับประเทศไทย ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าเศรษฐกิจมีความอ่อนแออยู่แล้ว  นอกจากนี้ ฝนที่ตกหนักมากในภาคใต้ช่วงปลายปี ยังสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และเผยให้เห็นจุดอ่อนของระบบการตอบสนองฉุกเฉินของรัฐบาล

สถานการณ์พายุหมุนเขตร้อนที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในปี 2568 จำนวน 7 ลูกในช่วงเวลา 5 เดือน ได้ยืนยันข้อสรุปที่ว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่ "ความปกติใหม่" ของความถี่และความเข้มข้นของพายุที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง