เต่าดาว-เสือปลา เหยื่อความโลภ ย้อนสถิติจับสัตว์ป่า 400 คดี/ปี สะท้อนความจำเป็นเร่งปราบปราม
การลักลอบค้าสัตว์ป่าข้ามชาติยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่คุกคามความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศทั่วโลก แม้จะมีความพยายามในการปราบปรามจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของประเทศต่างๆ แต่เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ก็ยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ของไทยสามารถทลายเครือข่ายค้าสัตว์ป่าข้ามชาติได้สำเร็จ โดยพบแหล่งพักรอส่งต่อสำหรับกลุ่มที่ชอบเลี้ยงสัตว์ป่าหายาก ในพื้นที่หมู่ 3 ต.เนินหอม อ.เมือง จว.ปราจีนบุรี ตรวจยึดของกลาง ได้แก่ จระเข้น้ำจืด จำนวน 3 ตัว เต่าดาวลายรัศมี จำนวน 173 ตัว เสือปลา จำนวน 1 ตัว นกกวัก จำนวน 1 ตัว
การจับกุมครั้งนี้นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งในการต่อสู้กับการลักลอบค้าสัตว์ป่า แต่สถิติการจับกุมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมา มีการจับกุมคดีลักลอบค้าสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเต่าดาวและเสือปลาซึ่งเป็นสัตว์หายากที่ใกล้สูญพันธุ์ ปัจจุบัน ประชากรของเต่าดาวในธรรมชาติเหลืออยู่เพียงไม่กี่พันตัว ในขณะที่เสือปลาก็เหลือน้อยกว่า 4,000 ตัวทั่วโลก หากไม่มีมาตรการที่เข้มงวดในการปกป้องสัตว์เหล่านี้ พวกมันอาจสูญพันธุ์ไปในอนาคตอันใกล้
สถิติสะท้อนความล้มเหลวในการปราบปราม
เคยสงสัยหรือไม่ว่า ในแต่ละปีมีสัตว์ป่าจำนวนมากเพียงใดที่ตกเป็นเหยื่อของการลักลอบค้าในประเทศไทย? จากสถิติการจับกุมสัตว์ป่าคุ้มครองในปี 2565 ได้เผยให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ โดยพบว่ามีคดีเกี่ยวกับสัตว์ป่าถึง 413 คดี มีการตรวจยึดสัตว์ป่าของกลางจำนวนมากถึง 6,063 ตัว และซากสัตว์ป่าของกลางอีก 1,298 ซาก
แต่นี่เป็นเพียงยอดที่ถูกจับได้เท่านั้น ลองนึกภาพตามดูสิว่า จำนวนสัตว์ป่าที่ถูกลักลอบค้าจริงๆ นั้นมีมากขนาดไหน? สัตว์ป่าที่ถูกจับกุมพบมากที่สุด ได้แก่ เต่าดาว งูเห่า งูจิ้งจก เม่น กระรอก และนก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย
น่าสนใจว่า เมื่อย้อนดูสถิติการจับกุมคดีสัตว์ป่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลับพบว่ามีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ โดยเฉลี่ยแล้วมีคดีปีละประมาณ 400 คดี สัตว์ป่าของกลางปีละประมาณ 5,000 ตัว และซากสัตว์ป่าของกลางปีละประมาณ 1,000 ซาก แม้ว่าสถิติเหล่านี้จะแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่ายังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องและยากที่จะขจัดให้หมดไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ป่าคุ้มครองบางชนิด เช่น เต่าดาว เสือปลา นกแก้ว งูเห่า กระทิง และกวางป่า ที่ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายหลักของขบวนการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติมาโดยตลอด ทำให้สัตว์เหล่านี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หากยังไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดในการปกป้องพวกมัน
ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนต้องตระหนักถึงปัญหานี้ และร่วมมือกันหยุดยั้งขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นการไม่สนับสนุนการซื้อขายผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า การแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็นกิจกรรมที่น่าสงสัย ไปจนถึงการสนับสนุนองค์กรที่ทำงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า เพราะทุกการกระทำของเรา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนส่งผลต่ออนาคตของสัตว์ป่าและความยั่งยืนของระบบนิเวศทั้งสิ้น
ของกลาง 173 ตัว มูลค่ากว่าล้านบาท
เต่าดาว สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ในบัญชีที่ 1 ของอนุสัญญาไซเตส ซึ่งห้ามนำเข้าส่งออกระหว่างประเทศโดยเด็ดขาด กลับตกเป็นเหยื่อของขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าเพื่อป้อนตลาดนักสะสม โดยในคดีล่าสุด มีการจับกุมเต่าดาวของกลางจำนวนถึง 173 ตัว มูลค่ารวมประมาณ 1-1.5 ล้านบาท หรือราคาตัวละ 10,000-15,000 บาท ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจทางการเงินที่สูงมากสำหรับขบวนการเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม การซื้อขายเต่าดาวนั้นสามารถทำได้เฉพาะรัฐต่อรัฐเท่านั้น เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาวิจัยและเพาะพันธุ์ เนื่องจากปัจจุบันจำนวนประชากรเต่าดาวในธรรมชาติเหลือน้อยมากจนถูกจัดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ ดังนั้น การลักลอบค้าเต่าดาวจึงเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่คุกคามการอยู่รอดของสัตว์ชนิดนี้ และจำเป็นต้องได้รับการปราบปรามอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย
ร่วมมือทุกภาคส่วน ยับยั้งวิกฤตสูญพันธุ์ สัตว์ป่าไทย
การแก้ไขปัญหานี้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบังคับใช้กฎหมาย การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการประสานงานในการสืบสวนสอบสวน
นอกจากนี้ ยังควรมีการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและเพิ่มบทลงโทษให้สอดคล้องกับความร้ายแรงของอาชญากรรมด้วย การลักลอบค้าสัตว์ป่าไม่ควรถูกมองว่าเป็นความผิดเล็กๆ แต่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่คุกคามความมั่นคงของทั้งคน สัตว์ และโลกใบนี้
ด้วยแนวโน้มที่ยังคงมีการจับสัตว์ป่าในระดับสูง สัตว์ป่าหลายชนิดกำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า อัตราการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย มลพิษ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลักลอบค้าสัตว์ป่า การสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมเท่านั้น แต่ยังคุกคามต่อความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจของมนุษย์อีกด้วย
CITES กลไกสำคัญ: ความร่วมมือระหว่างประเทศควบคุมการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติ
การค้าสัตว์ป่าข้ามชาติเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่คุกคามความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศทั่วโลก การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาคมโลกในหลายระดับ อนุสัญญา CITES เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมการค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการทำงานขององค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เช่น UNEP, WWF และ INTERPOL ในการสนับสนุนและประสานความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและแลกเปลี่ยนข้อมูล
นอกจากนี้ ความร่วมมือระดับทวิภาคีและพหุภาคีระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การพัฒนาแผนปฏิบัติการร่วม การสร้างศักยภาพ และการสร้างความตระหนักรู้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปราบปรามขบวนการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติ ความร่วมมือกับภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจระหว่างประเทศก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนโยบายและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เป็นรากเหง้าของปัญหา การแก้ไขปัญหานี้จึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและทุกประเทศ เพื่ออนาคตของโลกที่มนุษย์และสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
ท้ายที่สุด อนาคตของสัตว์ป่าขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน เราต้องร่วมมือกันปกป้องสัตว์ป่า รักษาความสมดุลของธรรมชาติ และสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศของโลกใบนี้ เพื่ออนาคตที่สดใสของทั้งสัตว์ป่าและมนุษยชาติ
เรียบเรียงโดย : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN
ภาพ : ตำรวจสอบสวนกลาง