PTTEPรุกดักคาร์บอน ปีนี้ราคาน้ำมันลดลง

#PTTEP #ทันหุ้น – PTTEP ลุยขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ เดินหน้าการดักจับคาร์บอน พร้อมซื้อกิจการ (M&A) มีงบเสริมจากงบปีนี้ 1.9 แสนล้านบาท ส่วนผลงานปีนี้คาดปริมาณขายไตรมาส 1/66 แตะ 472,000 บาร์เรล รับราคาน้ำมันลดมาเคลื่อนไหวในกรอบ 75-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
นายธนัตถ์ ธำรงศักดิ์สุวิทย์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า คาดปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 1/2566 ที่ไว้ที่ประมาณ 472,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ส่วนทั้งปี 2566 ที่ 470,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 468,130 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยมาจากการเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมของโครงการจี 1/61 (เอราวัณ) นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้น
@ราคา-ต้นทุนลด
โดยคาดราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 75-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากปีก่อน สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 1/2566 คาดว่าจะอยู่ที่ ประมาณ 6.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ส่วนทั้งปี 2566 จะอยู่ที่ 6.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู
ขณะที่ต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) จะอยู่ในช่วง 27-28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลงได้เล็กน้อยจากเดิม ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ยังคงอยู่ในระดับเดิมที่ 70-75%
ส่วนการลงทุนในปี 2566 ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 5.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1.9 แสนล้านบาท เพื่อรองรับแผนการดำเนินงานต่างๆ ทั้งการเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการผลิตหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการจี 1/61 โครงการจี 2/61 โครงการอาทิตย์ โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการ เอส 1 และโครงการผลิตในประเทศมาเลเซีย การเร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ได้แก่ แหล่งลัง เลอบาห์ ในโครงการมาเลเซีย เอสเค 410 บี และโครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึง การเร่งการสำรวจในโครงการต่างๆ ในประเทศไทย มาเลเซีย และโอมาน
@รุกธุรกิจใหม่
อีกทั้งบริษัทได้เริ่มขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้น โดยได้สำรองเงินไว้กว่า 4.8 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 แสนล้านบาท ในช่วง 5 ปีจากนี้ เพื่อลงทุนขยายการเติบโต เช่น บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV), ธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ,พลังงานทดแทน ตลอดจนธุรกิจการดักจับคาร์บอนและการใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization หรือ CCU) ธุรกิจไฮโดรเจนสะอาด รวมทั้งการต่อยอดเทคโนโลยีที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ไปสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์
พร้อมตั้งเป้าจะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจใหม่ไม่น้อยกว่า 20% ภายในปี 2573 อย่างไรก็ตามงบการลงทุนดังกล่าวยังไม่ได้รวมเรื่องของการซื้อกิจการ (M&A) หากมีโอกาสลงทุน หรือมองเห็นว่าสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท PTTEP ก็พร้อมที่จะพิจารณา
@ ประมูลแปลงสำรวจเพิ่ม
ส่วนการยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมครั้งที่ 24 สำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/65, G2/65 และ G3/65 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต บริษัทได้มีการยื่นประมูลขอรับสิทธิในครั้งนี้ด้วย ทั้ง 3 แปลง โดยคาดว่าจะสามารถประกาศผลผู้ได้รับคัดเลือกเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตได้ราวเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่ง PTTEP เชื่อว่าจะเพิ่มศักยภาพการเติบโตให้กับบริษัทได้
@ปีนี้ผลงานลดลงตามน้ำมัน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง PTTEP ว่า คาดแนวโน้มการดำเนินงานปี 2566 อ่อนตัวลงตามราคาน้ำมันที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่คาดกำไรยังอยู่ในระดับสูง ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 65,044 ล้านบาท อ่อนตัวลง 8.3% ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบ Dubai เฉลี่ยที่ 85 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทาง PTTEP คาดว่าปริมาณการขายทั้งปีจะปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ราว 4.7 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จาก 4.67 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ในปี 2565 โดยหลักมาจาก 1. การเร่งกำลังการผลิตของโครงการ G1/61 (เอราวัณ) ณ ปี 2565 มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 210 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดย PTTEP คาดว่าจะสามารถเร่งกำลังการผลิตขึ้นมาอยู่ที่ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ได้ในช่วงกลางปี 2566 และ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงสิ้นปี โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินงานเต็มกำลังการผลิตที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในเดือน เมษายน 2567
2. โครงการ G2/61 (บงกช) ที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และอยู่ระหว่างการสร้างและติดตั้งแท่นผลิต เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านพื้นที่ Block B16 และBlock B17 ส่งผลให้กาลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในช่วงมีนาคม 2566 และในส่วนของต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) คาดว่าจะอยู่ที่ราว 27.7 ดอลลาร์ ลดลงจาก 28.3 ดอลลาร์ ในปี 2565 เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และค่าภาคหลวง (Royalty) ที่คาดว่าจะลดลงจากเปลี่ยนผ่านพื้นที่ Block B16 และBlock B17 มาเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) จากเดิมที่เป็นระบบสัปทาน ทางฝ่ายคงราคาพื้นฐานปี 2566 ไว้ที่ 190 บาท (วิธี DCF, WACC = 8.25%, Terminal Growth = 2% ) และ PTTEP ได้ประกาศจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2565 อยู่ที่ 5 บาท (XD วันที่ 14 ก.พ. 2566 และรวมทั้งปีอยู่ที่ 9.25 บาท) ซึ่ง PTTEP เป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องโดยมีเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปี (2561-2565) ย้อนหลังอยู่ที่ 5.90 บาท