เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#ทันหุ้น-บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะยังคงแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,380-1,395 จุด โดยภาพรวมตลาดยังขาดปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนเข้ามากระตุ้น ปัจจัยสำคัญที่ตลาดรอติดตามสัปดาห์นี้คือตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯเดือน ม.ค. ในคืนวันอังคาร ซึ่งจะมีผลต่อการประเมินโอกาสในการลดดอกเบี้ยของ FED
โดยล่าสุดตลาดมองโอกาสลดดอกเบี้ยเดือน มี.ค. เหลือแค่ 16% ขณะที่เดือน พ.ค. อยู่ที่ 70% ฝั่ง Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯยังคงขยับขึ้นอีกเล็กน้อยแตะ 4.18% และ Dollar Index แข็งค่า ยังคงกดดันสกุลเงินเอเชียและจำกัดการไหลเข้าของกระแสเงินทุน ส่วนของไทยไหลออกติดต่อกัน 3 วันทำการจากความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในการประชุมครั้งถัดๆไปที่เพิ่มขึ้นหลังให้ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่ช้าและเงินเฟ้อที่ต่ำ โดยสภาพัฒน์ฯจะประกาศตัวเลข GDP 4Q23 และ 2023 ในวันจันทร์หน้า
ส่วนด้านผลประกอบการ 4Q23 บจ.จะทยอยประกาศหนาแน่นขึ้นในสัปดาห์นี้ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนทั้งด้านการฟื้นตัวรวมถึงการปรับลดประมาณการปี 2024 ลงว่ามากน้อยเพียงใด ระยะสั้นเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่คาดประกาศกำไรแข็งแกร่งและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เรายังเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ Bottom ในปี 2023 แล้วก่อนทยอยเร่งตัวขึ้นในปี 2024 โดยยังคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ รวมถึงงบประมาณปี 2024 ที่คาดว่าจะผ่านใน 2Q24 เรายังมองดัชนีที่ระดับ 1,350-1,360 จุด ยังน่าสนใจในการทยอยสะสมระยะกลาง-ยาว
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid
หุ้นเด่นเดือน ก.พ.: CPALL, ITEL, MINT, PR9, TU
หุ้นเด่นวันนี้ : TACC
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท
• คาดกำไรปกติ 4Q23 สูงสุดในรอบ 6 ไตรมาสที่ 61 ลบ. +19% q-q, +27% y-y จาก High Season และมีการออกเครื่องดื่มรสชาติใหม่ ทำให้รายได้คาดโตแกร่ง +11% q-q, +13% y-y ดีกว่า SSSG ของ 7-11 ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบทรงตัว ทำให้ Margin ยังยืนใกล้เกียง 3Q23 จบปี 2023 คาดมีกำไรปกติ 209 ลบ. -10% y-y
• ใน 4Q23 จะมีการบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนใน TCI ราว 30 ลบ. ซึ่งมีการทำสัญญาขายหุ้นและอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยหากขั้นตอนการซื้อขายแล้วเสร็จจะมีการกลับรายการเข้ามาในปี 2024 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเพิ่มจากผลการดำเนินงานปกติที่คาดกลับมาเติบโตที่ 240 ลบ. +15% y-y ราคาหุ้นเทรด PER เพียง 11-12 เท่าและให้ Dividend Yield สูงถึง 7-8% ต่อปี
• แนวรับ 4.42-4.40//4.30 บาท แนวต้าน 4.60//4.80 บาท
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,375 – 1,380 แนวต้าน 1,400 คาดทรงตัวรอรายงานกำไร บจ. แนะนำทยอยซื้อกลุ่มขนส่ง & ค้าปลีก AOT,AAV,BA,CPALL,CPAXT,MC ได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน
SCCC* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 153.00 บาท) บริษัทรายงานผลประกอบการ 4Q66 มีกำไรสุทธิที่ 827 ล้านบาท +88%QoQ และพลิกจาก 4Q65 ที่ขาดทุน โดยกำไรที่ดีขึ้นมาจากโครงการลดต้นทุนภายในและราคาพลังงานที่ลดลงทั้งถ่านหินและค่าไฟฟ้า ชดเชยปัจจัยลบจากอุปสงส์ธุรกิจซีเมนต์ในต่างประเทศได้ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายพิเศษจากการด้อยค่าฯ ยังลดลงจากไตรมาสก่อน ส่วนแนวโน้ม 1Q67 ผลการดำเนินงานยังอยู่ในทิศทางที่ฟื้นตัว โดยตลาดในประเทศคาดหวังปัจจัยบวกรัฐบาลเร่งผ่านงบปนะมาณในช่วง 2Q67 ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 67 ที่ 2.96 พันล้านบาท +11%YoY ทั้งนี้บริษัทประกาศจ่ายเงินปันปล 7 บาท/หุ้น คิดเป็น Div Yield 5%
HUMAN* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 12.70 บาท) กำไรสุทธิงวด 9M66 อยู่ที่ 217.88 ลบ. +126%YoY เติบโตได้ดีตามรายได้(+32%YoY) ที่ขยับขึ้นจาก 1.การควบรวม DataOn (Hr Tech ใน อินโดฯ/ พ.ค.65) 2.Recurring Incomeที่สูงขึ้น-รายได้ที่เกิดขึ้นประจำค่าซอฟต์แวร์ (SaaS Model)/ค่าบริการรับช่วงจัดทำเงินเดือน สำหรับการดำเนินงานช่วงถัดไป ผู้บริหารวางเป้ารายได้ปี2567 จะ +15%YoY จากการขยายบริการของบริษัทและยังเดินหน้าในการเปิดให้บริการซอฟต์แวร์ใหม่ๆ รวมไปถึงซอฟต์แวร์ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยให้การทำงานของลูกค้าง่ายขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน ตลาดคาดกำไรสุทธิปี 66 67 HUMAN* ที่ 307 ลบ.(+70%YoY) และ 396 ลบ.(+29%YoY)
**บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ จะแกว่งในกรอบแคบๆ จากเทศกาลตรุษจีน ตลาดผ่านตัวแปรสำคัญๆ มาแล้ว จับตาตัวเลขเงินเฟ้อ และ MSCI Index Review ประเมินกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ไว้ที่ 1375-1405 จุด
• ประเมินบรรยากาศตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นจีนหยุดทั้งสัปดาห์ สถานการณ์ตะวันออกกลาง ยังเป็นตัวถ่วง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นหลังโอกาสในการลดดอกเบี้ยถูกยืดออกไปอีก ส่วนของไทย นักลงทุนต่างประเทศกลับมาขายอีกครั้ง และเข้าสู่การรายงานกำไร (มีผลหุ้นเฉพาะตัว)
• ตลาดหุ้นจีน หยุดเทศกาลตรุษจีน (9-17 ก.พ.) ทำให้นักลงทุนต่างประเทศ ที่ลงทุนในตลาดเอเซียหรือมี office ในจีนและฮ่องกง จะชะลอการซื้อขาย หรือซื้อขายน้อยลง เป็นปกติในทุกๆปีอยู่แล้ว
• ตัวแปรที่เรายังมีความกังวลต่อเนื่อง คือ สถานการณ์ตัววันออกกลางและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ตามที่เราเห็นว่า ธุรกิจที่อิงการค้าต่างประเทศ ต่างถูกกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจาก 2 สถานการณ์นี้ โดยเฉพาะไทย ที่อิงการค้าต่างประเทศค่อนข้างมาก (ณ 3q-23 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกและบริหาร 67% ของ GDP) ในทางตรงกันข้าม ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น ไทยจะดีขึ้นไปด้วย
• เราประเมินกำไร SET งวด 4Q-23 ไว้ที่ 2.1 แสนลบ. +34% YoY; -22% QoQ กลุ่มที่กำไรถูกคาดว่าจะออกมาดี (YoY+QoQ) คือ กลุ่มขนส่ง กลุ่มค้าปลีก
• ตัวเลขเศรษฐกิจและ Event สำคัญๆ สัปดาห์นี้ ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ (13) คาด 2.9% YoY (เดือนก่อน 3.4%) MSCI ประกาศหุ้นคำนวณดัชนีฯ (13) และตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต(16)
Strategy
• ตลาดกลับมาเข้าสู่โหมดของความอึมครึมอีกครั้ง ตลาดหุ้นจีนหยุด ทำให้ขาดตัวช่วยไป และเมื่อดูการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดใหญ่ พบว่าถูกขายต่อ (ฝรั่งก็ขาย) โดยเฉพาะ SCC ที่ราคาถอยลงมาตามลำดับ บ่งชี้สภาพตลาดหุ้นไทย ที่ไม่ดีนัก .... เรายังให้น้ำหนักไปทางขายทำกำไรช่วงสั้น และเก็งกำไรสั้นๆ ตาม theme หรือข่าวรายวัน
• หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว จากตัวเลขที่ดีขึ้นตามลำดับ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ (ยกเว้นโรงแรม) มีความคึกคักเป็นพิเศษ เราชอบ AOT, AAV, BA, SPA
• หุ้นกลุ่มห้างฯ หรือร้านขายวัสดุก่อสร้างเริ่มกลับมาอีกครั้ง 3 ตัวที่น่าสนใจ GLOBAL, DOHOME, HMPRO
• เกาะกระแสเก็ง งบ 4Q เราชอบ BH (1.77 พันลบ. ; +18% YoY)
• หุ้นสายพลังงาน เลือก Segment ที่มีแรงหนุนจากปัจจัยเฉพาะตัว คือโรงกลั่นน้ำมัน (TOP, BCP) และโรงไฟฟ้า (BGRIM)
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ AAV เข้ามาใหม่ หุ้นในพอร์ต ประกอบไปด้วย AAV(10%), BCP(10%) , SCGP(10%), HMPRO(10%), AAI(10%), BCH(10%)
Technical : JPARK, TTA