รีเซต

นโยบายสิ่งแวดล้อมอะไร? ที่ได้ใจคนไทยทั่วประเทศ

นโยบายสิ่งแวดล้อมอะไร?  ที่ได้ใจคนไทยทั่วประเทศ
TNN ช่อง16
29 ธันวาคม 2568 ( 11:30 )
9

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เกี่ยวกับ “นโยบายสิ่งแวดล้อม” แบบใดที่จะได้ใจคนไทย

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ตั้งแต่วิกฤตฝุ่น PM 2.5 น้ำท่วม ภัยแล้ง ขยะล้นเมือง ไปจนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คำถามสำคัญที่สังคมเริ่มตั้งขึ้นอย่างจริงจังคือ พรรคการเมืองที่ประชาชนจะมอบความไว้วางใจให้บริหารประเทศ ควรมีนโยบายสิ่งแวดล้อมแบบใดจึงจะตอบโจทย์อนาคตของประเทศได้อย่างแท้จริง

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองไม่ได้พิจารณาเพียงนโยบายเศรษฐกิจหรือสังคมเท่านั้น หากแต่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจหลัก เนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่ดีคือรากฐานของสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

หนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่พรรคการเมืองควรผลักดัน คือการเร่งรัดและปรับปรุงกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้ทันต่อสถานการณ์จริง พระราชบัญญัติอากาศสะอาดต้องถูกนำมาใช้เพื่อจัดการปัญหาฝุ่น PM 2.5 และมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการปรับแก้ข้อกฎหมายบางประเด็น เพื่อลดความซ้ำซ้อนและความขัดแย้งกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน พระราชบัญญัติโรงงานจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงครั้งสำคัญ เพื่อแก้ไขปัญหาโรงงานสีเทาที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยต้องแยกโรงงานทั่วไปออกจากโรงงานที่มีความเสี่ยงสูงอย่างชัดเจน ปรับขั้นตอนการอนุญาตให้โปร่งใสและทันสมัย และเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงพอจะป้องปรามการกระทำผิด

กฎหมายด้านสาธารณสุขก็เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ควรถูกยกระดับ โดยมีข้อเสนอให้ปรับพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เป็นพระราชบัญญัติอนามัยสิ่งแวดล้อม และให้อำนาจแก่ท้องถิ่นในการกำกับดูแลกิจการขนาดเล็ก ขณะที่กิจการที่เป็นอันตรายต่อชุมชน เช่น การทำพลุ ดอกไม้ไฟ หรือโกดังเก็บสารเคมี ต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นก่อนการอนุญาต

นอกจากนี้ การออกกฎหมายว่าด้วยการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ จะช่วยสร้างความโปร่งใส โดยกำหนดให้โรงงานและแหล่งกำเนิดมลพิษต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมทั้งทางอากาศ น้ำ และดิน ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเสรี เพื่อปกป้องสุขภาพและสิทธิในการรับรู้ข้อมูลของสังคม

ในระดับโครงสร้างระยะยาว ประเทศไทยยังต้องมีกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 47 ภายในปี 2035 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 พร้อมทั้งสร้างกลไกราคาคาร์บอนและสนับสนุนพลังงานสะอาดอย่างเป็นระบบ

นอกเหนือจากมิติของกฎหมาย การบริหารจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติถือเป็นอีกบททดสอบสำคัญของรัฐ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีแผนรับมือที่ชัดเจน ตั้งแต่การเตรียมการ การสื่อสารความเสี่ยง การเผชิญเหตุ การอพยพ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ทั้งในระดับส่วนกลางและท้องถิ่น เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงทีและลดความสูญเสียให้มากที่สุด

การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดก็เป็นนโยบายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พรรคการเมืองควรผลักดันการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานไฮโดรเจน รวมถึงการนำขยะกลับมาใช้เป็นพลังงาน พร้อมลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ท้ายที่สุด สิ่งที่ประชาชนต้องการเห็นไม่ใช่เพียงคำประกาศเชิงนโยบาย แต่คือความกล้าทางการเมือง พรรคการเมืองต้องแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า จะไม่ยอมให้มีโรงงานสีเทา การฟอกเงินผ่านกิจการอุตสาหกรรม หรือการลักลอบทิ้งกากของเสียอีกต่อไป ฝุ่น PM 2.5 และจุดความร้อนต้องลดลงอย่างมีนัยสำคัญทุกปี พื้นที่ป่าต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40 ภายในปี 2579 ขยะมูลฝอยที่กองสะสมเกือบ 2,000 แห่งทั่วประเทศต้องถูกจัดการจนหมด และขยะอาหารต้องลดลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 ตามแผนที่กำหนดไว้

เมื่อสิ่งแวดล้อมกลายเป็นตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศ นโยบายที่ชัดเจน จริงจัง และตรวจสอบได้ จึงอาจเป็นคำตอบสำคัญว่า พรรคการเมืองใดจะสามารถ “ได้ใจคนไทย” และนำพาประเทศเดินหน้าอย่างยั่งยืนได้จริง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง