แม่ร้อง ลูกสาวใกล้คลอดติดโควิด อยู่ รพ.สนาม จู่ๆ มีอาการผิดปกติ จนท.นิ่ง จนเด็กตายในท้อง
แม่ร้อง ลูกสาวใกล้คลอดติดโควิด อยู่ รพ.สนาม จู่ๆ มีอาการผิดปกติ จนท.กลับบอกไม่เป็นไร ต้องอยู่จนครบ 5 วัน สุดท้ายเด็กตายในท้อง
วันที่ 27 เม.ย.65 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จาก นางพุฒชง (ขอสงวนนามสกุล) ชาว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ว่า น.ส.ภัทราพร อายุ 25 ปี ลูกสาว ป่วยโควิด-19 ในขณะตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน มีไข้สูง ถูกนำตัวส่ง ร.พ.แห่งหนึ่ง แต่ห้องพักเต็มจึงให้กลับมาพักรอดูอาการที่บ้าน
ต่อมาเช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่อนามัยมารับตัวไปพักคอยที่ รพ.สนาม หลังจากผ่านมา 2 คืน ลูกสาวบอกกับเจ้าหน้าที่ประจำ รพ.สนาม ว่า ลูกในท้องไม่ดิ้นและมีน้ำไหลออกมา ก็ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่าปกติ และไม่ได้ให้การช่วยเหลือใดๆ จะขอกลับก็ไม่ได้
จึงต้องทนอยู่จนครบกำหนดการกักตัว 5 วัน ก่อนมาพบแพทย์ที่ ร.พ. เพื่อตรวจครรภ์ แพทย์บอกว่า หัวใจเด็กในครรภ์เต้นช้าหรืออ่อนมาก ก่อนรีบนำส่งต่อ ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี หลังการตรวจแพทย์จาก ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร บอกเด็กน่าจะเสียชีวิตมาแล้วหลายวัน ผิวเริ่มหลุดเพราะเปื่อยหากมาช้าอีก 2 วันแม่อาจเป็นอันตราย จึงรีบดำเนินการฉีดยาเร่งให้เด็กออก ซึ่งนับว่าโชคดีที่เด็กออกมาได้โดยที่แม่ไม่เป็นอะไร แต่ก็ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อีกระยะหนึ่ง
นางพุฒชง เปิดเผยต่อว่า หลังลูกสาวโทรมาบอกตนรู้สึกตกใจ ทำอะไรไม่ถูกเพราะต้องสูญเสียหลานสาวคนแรกที่ทุกคนรอคอยที่จะได้เห็นหน้าในอีกไม่กี่วัน ถึงกับตั้งชื่อไว้แล้วว่า น้องเมลิษา เพราะทางแพทย์ได้กำหนดเวลาทำคลอดไว้แล้ว แม่มาติดโควิดแต่ไร้การดูแลจากแพทย์ประจำ รพ.สนาม ถามอะไรก็บอกแต่ว่าไม่เป็นอะไร เป็นเรื่องปกติ ซึ่งตนไม่มีความรู้ เถียงไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนมาทางนี้
นางพุฒชง ยังกล่าวอีกว่า ทาง ร.พ. ยังห้ามไม่ให้นำเรื่องดังกล่าวไปบอกผู้สื่อข่าว เพราะ ร.พ. พร้อมรับผิดชอบทุกอย่างรวมทั้งค่ารักษาพยาบาลและเงินค่าเสียหาย ซึ่งหมายถึงเงินค่าเยียวยาที่ต้องสูญเสียหลานสาวไป
ขณะที่ผู้สื่อข่าวพูดคุยอยู่ น.ส.ภัทราพร ก็ได้วีดีโอคอลมา พูดคุยเล่าเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่จาก ร.พ. นำกระเช้ามาเยี่ยมและขอร้องไม่ให้บอกเรื่องทั้งหมดกับสื่อมวลชน เพราะขณะนี้ทาง ร.พ. ยินดีช่วยเหลือ ทั้งย้ำว่า เรื่องนี้ยังไม่มีใครผิดใครถูก ซึ่งพร้อมให้การรับผิดชอบเยียวยาหลังออกจากโรงพยาบาลแล้วมาคุยกัน มาเซ็นต์เอกสารที่จำเป็น ทาง ร.พ. ได้เตรียมไว้ให้แล้ว
น.ส.ภัทราพร บอกว่า จำเป็นต้องบอกสื่อเพราะตนไม่มีหลักฐานใดๆ ไม่มีหลักประกันอะไร จึงต้องพึ่งสื่อมวลชน ทางฝ่าย ร.พ. ก็ยังพยายามขอให้ปิดข่าว โรงพยาบาลรับผิดชอบแล้วจึงไม่มีความจำเป็นให้สื่อเข้ามาเกี่ยว จนกว่าจะมีการเยี่ยวยาค่อยเชิญสื่อมาร่วมเป็นพยาน
นางพุฒชง กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อย แต่ชาวบ้านคงไม่มีปัญญาไปเรียกร้องกับใครก็เลยเงียบไปหมด การที่จะต้องออกมาพึ่งสื่อก็เพื่ออยากให้ทางผู้ใหญ่เข้ามาดูแล และปรับปรุงเรื่องการดูแลผู้เจ็บป่วยมากกว่านี้ อย่ารอต้องให้เกิดการสูญเสียแล้วค่อยมาแก้แบบนี้และอยากให้ทาง สปสช.เขต 6 ได้สอดส่องด้วย